WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, April 28, 2010

ผู้ก่อการร้ายแปลว่า ฆ่าได้ เหมือนอย่างที่เคยฆ่าปรากฏการณ์ ไพร่ทาสเฉื่อยงานกับ...

ที่มา ประชาชาติ


ผู้ก่อการร้าย แปลว่า ฆ่าได้ เหมือนอย่างที่เคยฆ่า ปรากฏการณ์ “ไพร่ทาสเฉื่อยงานกับข้าราชการเกียร์ว่าง"




พารากอน คนรวย คนจน และราวตากผ้า


โอ้ว ...ไม่นะ เธอตากกางเกงชั้นในที่สยามไม่ได้

ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นนักประวัติศาสตร์
ที่มองการเมืองไทย ทะลุมาตั้งแต่พ.ศ. 2475 เขามองปรากฎการณ์ของ ไพร่ อำมาตย์
และทหาร ได้ลึกกว่าใคร
"ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์ ดร. ชาญวิทย์ ในบรรยากาศอึมครึมก่อนมีพายุใหญ่



@แนวโน้มเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น

ภาพรวมคิดว่า น่าจะจบด้วย
1) นายกฯยุบสภาหรือลาออก
2) นองเลือดแล้ว หลังจากนั้น ขบวนการเสื้อแดงมุดลงดินกับขึ้นไปในโลกไซเบอร์ และ
3) เป็นปรากฏการณ์ที่คนไทยมองเรื่อง “กฤษดาภินิหาร” อย่างเช่น
หนังสือที่ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนไว้ “กฤษดาภินิหารอันบดบังมิได้ของกรมพระนเรศ”
(พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเศรวรวรฤทธิ์ พระนามเดิม พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร พระราชโอรสองค์ที่ 17 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบิดาของ พระวรวงศ์เธอ พระองค์บวรเดช เจ้าอดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าฝ่ายทหาร
นำกำลังทหารจากหัวเมืองภาคอีสานล้มล้างการปกครองของรัฐบาล อันเป็นเหตุการณ์ “กบฏบวรเดช” เกิดขึ้นในวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476)


@ เท่ากับว่าพัฒนาการประชาธิปไตยไม่คืบหน้าหรือเปล่า

มันอยู่ที่คนกลุ่มไหนเป็นคนมอง บางคนอาจหมดหวังกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่บางคนก็อาจจะมองว่ามันกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าถึงจุดที่ดีกว่าเดิม เป็นที่มาของประโยคประเภทที่ว่า “กลียุคเป็นบ่อเกิดแห่งเสรีภาพ”


@ ฝ่ายไหนได้เปรียบเสียเปรียบกว่ากัน

มองยากว่าใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ เพราะบางคนก็คิดว่าถึงทางตัน
แต่ความจริงแล้วสังคมก็เดินของมันไป


@ ขณะนี้รัฐบาลเตรียมจัดการกับผู้ก่อการร้าย

ผู้ก่อการร้ายเป็นวาทกรรมที่ซับซ้อนมากๆ ภาษาไทยแปลมาจาก
คำในสมัยยุค sixty-seventy (ยุคค.ศ.1960 ค.ศ. 1970) ในสมัยสงครามเย็น
สมัยความขัดแย้งของลัทธิ เป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างมาต่อต้านคอมมิวนิสต์ เป็น insurgency หรือ insurgent ซึ่งหมายถึงคน ผู้ก่อการร้ายสมัยสงครามอินโดจีนสมัยไทยร่วมเป็นพันธมิตรกับอเมริกา แต่คำว่าผู้ก่อการร้ายในปัจจุบันน่าจะหมายถึง terrorist หมายถึงคนที่เป็นผู้ก่อการร้าย กับคำว่า terror อันนี้เป็นศัพท์ที่มาจากความขัดแย้งของโลกตะวันตกกับโลกมุสลิม มาจากเหตุการณ์ถล่มตึกเวิลด์เทรด
ใน ค.ศ. 2001 แปลว่าเป็นเรื่องระดับสากลมากๆ ฉะนั้น การที่รัฐบาลใช้คำนี้เป็นการใช้คำที่กำกวมและเกินเลยต่อสภาพของความเป็นจริง เป็นการใช้ในความหมายแบบเก่าครึ่งหนึ่ง หมายถึงผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ มีนัยยะครอบคลุมคอมมิวนิสต์และฝ่ายซ้ายเก่าในยุคหลัง 6ตุลา 2519 และใช้ในความหมายที่คลุมไปถึงการก่อการร้ายในปัจจุบันคือเรื่อของการถล่มตึกเวิลด์เทรด
เรื่องของประเทศอิรัก เรื่องบินลาเดน เรื่องของอัฟกานิสถาน รวมทั้งนัยยะของเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ในด้านหนึ่งเป็นการยกสถานะความขัดแย้งจากถนนราชดำเนิน
หรือแยกราชประสงค์ให้เป็นระดับอินเตอร์ เพื่อให้ประเทศต่างๆ ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมันอาจจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ได้ แต่ผมคิดว่าปัญหาของเรามัน local มากกว่า มันเป็นเรื่องท้องถิ่นมากๆ ฝ่ายแดงมีปลาร้า โคมลอย ทอดแห ไม้ไผ่ปลายแหลม บั้งไฟ แม้เหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. จะไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการปะทะกันนั้นมีอาวุธร้ายแรง แต่โดยภาพรวมของฝ่ายแดงมันก็ดู local อยู่ดี


@ เชื่อว่าใช้คำแบบนี้เพื่อพร้อมปราบปราม

แน่นอน เพราะคำว่าผู้ก่อการร้าย แปลว่า ฆ่าได้ เหมือนอย่างที่เคยฆ่ามาแล้ว สร้างความชอบธรรมให้การประหัตประหาร


@ ปัญหาของการใช้คำกำกวม

วาทกรรมของรัฐบาลอาจไม่ได้ผล เพราะคำเช่นนี้เคยใช้ในสมัย 14 ตุลา 2516 พฤษภา 2535 ก็ไม่ได้ผล ใช้คำว่าผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ บ่อนทำลายประเทศชาติ ไม่สามารถทำให้คนที่อยู่ตรงกลาง(ระหว่างคนที่พร้อมจะเชื่อรัฐบาลกับคนที่ไม่เชื่อรัฐบาล)
เชื่อรัฐบาลขึ้นมาได้ ซึ่งคนพวกนี้มีจำนวนมาก และการ์ตูนการเมืองในหนังสือพิมพ์บางฉบับ เช่น
ไทยรัฐหน้า 3 และการ์ตูนการเมือง เกาเหลาชามเล็กในมติชน ก็เอามาล้อเลียนเป็นเรื่องตลก ทำให้ความขลังของอำนาจ(รัฐบาล)พังพินาศลงถูกหัวเราะ
แต่ก็ยังบอกไม่ได้ว่า การปราบปรามจะสำเร็จไหม หรือจะเป็นบูมเบอแรงเหมือนวันที่ 10 เมษา หรือไม่ เช่น แม่ทัพถูกเด็ด อาวุธยุทธโธปกรณ์ถูกทำลาย


@ หลังวันที่ 10 เม.ย. ก็ไม่ได้สะเทือนอำนาจของรัฐบาล

- ผมคิดว่าสะเทือน มันถึงได้คาราคาซังไง จากวันที่ 10 เมษา มาถึงวันนี้ กว่า 10 วัน ไม่มีอะไรคืบหน้า มันเหมือนกับเป็น “เกมรอ” เป็น “waiting game” เกมมันลากยาวมากเพราะสถานการณ์แบบนี้ ไม่มีใครมีความได้เปรียบที่แท้จริงแต่มันยันกันอยู่หมดเลย ไม่งั้นมันจบเร็วๆไปแล้ว แต่ความจริงคือมันยังยันกันอยู่


@ การที่รัฐบาลยังอยู่ในตำแหน่ง ไม่ได้แปลว่าชนะ

ผมกลับมองว่าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ในฐานะลำบากมาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หาทางจบเกมไม่ได้ ณ เวลานี้นะครับ แต่สถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ณ เวลาที่ฝุ่นตลบ
อีก 1 ชั่วโมงสถานการณ์อาจเปลี่ยนไปก็ได้ พูดยากมาก


@ การชุมนุมตึงเครียดมีความหวาดระแวง

ม็อบยังไม่ชนะหรอกครับ แต่การชุมนุมมาเดือนกว่านี้ ฝ่ายเสื้อแดงเก็บคะแนนมาตลอด
เพียงแต่ถูกตัดแขนขา เพราะต้องต่อสู้กับผู้กุมอำนาจรัฐประกอบด้วย
ตำรวจ ทหาร เผลอๆ มีตุลาการอีกด้วย แถมยังมีกองกำลังเสริม(ฝ่ายรัฐบาล)อยู่เป็นระยะๆ แต่ฝ่ายกุมอำนาจรัฐและผู้สนับสนุนก็ยังไม่สามารถเผด็จศึกได้

@ ปัญหาทหารตำรวจเกียร์ว่าง เพราะไม่แน่ใจว่าอำนาจจะพลิกไปทางไหน

ผมว่าในยุคที่การเมืองเสื้อเหลืองออกมาต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็มีข้าราชการเกียร์ว่าง
แต่มันไม่ชัดเจนเท่าคราวนี้ ที่เสื้อแดงต่อต้านรัฐบาลแล้วกลไกของรัฐนั้นกลายเป็นง่อยไปเลย เป็นปรากฏการณ์ที่แปลก เพราะปกติกลไกรัฐต้องทำตามเจ้านายสั่ง
แต่คราวนี้เจ้านายไม่สามารถจะสั่งได้ เหมือนกับ ผู้นำทหารจำนวนหนึ่งอาจจะคิดว่า
เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ ฉะนั้น เมื่อรัฐบาลนายสมัคร รัฐบาลนายสมชายสั่ง เขาก็ไม่ทำ ส่วนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์สั่ง เขาก็ไม่อยากทำ
แต่ถ้าคุณมีambition สูง(ความทะเยอทะยาน) อยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ตอนนี้ถ้าทหารยึดอำนาจแล้วก็ไม่ได้เป็นนายกฯ แล้วจะไปยึดอำนาจทำไม(หัวเราะ) ยึดอำนาจแล้วก็ซวยถูกด่าอีกต่างหาก รัฐบาลมาก็เปลี่ยนตัว
แต่สถาบันตำรวจทหารนั้น มันขึ้นอยู่กับผู้คุมสถาบันทหารตำรวจจะเอาตัวเข้าแลกหรือเปล่า
ในสมัยอยุธยา มีไพร่ ใช้วิธีการต่อสู้โดยการ “เฉื่อยงาน” เช่นว่า
ไพร่ถูกเกณฑ์มาขุดคลอง ถางหญ้า สร้างกำแพง มันไม่ชอบ มันไม่อยากทำ มันก็เฉื่อยงาน มันทำให้งานช้า งานไม่สำเร็จ การเฉื่อยงานเป็นเรื่องปกติในสังคมโบราณ
ซึ่งเกิดในระดับล่างของคนที่เป็นไพร่ เป็นทาส แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันกลับไปเกิดในกลุ่มข้าราชการของรัฐ “เกียร์ว่าง” ซึ่งเป็นคำศัพท์ใหม่ ก็คือ “เฉื่อยงาน” ซึ่งเป็นคำศัพท์สมัยเก่า

ตอนที่รัฐบาลนายสมัคร-นายสมชาย หรือรัฐบาลปัจจุบันสั่งให้ ผบ.ทบ.ทำ...ก็ไม่ทำ เป็นปรากฏการณ์ของสังคมไทย
ที่ข้าราชการเฉื่อยงานตามแบบของพวกไพร่ในสมัยอยุธยา ในพงศาวดารอยุธยา
หรือในพงศาวดารจีน ก็ปรากฏเหตุการณ์แบบนี้ กลุ่มต่างๆ ก็ช่วงชิงความได้เปรียบ เหมือนว่าเป็นสถานการณ์ที่เกิดช่องว่างทางอำนาจ หรืออีกด้านหนึ่งคือ “ไม่มีใครมีอำนาจอย่างแท้จริงที่เห็นได้ชัด”


@ความแตกแยกในกองทัพ

สิ่งที่น่าเสียดาย คือในวงวิชาการไม่มีนักวิชาการที่รู้เรื่องกองทัพการทหาร
ทำให้ไม่สามารถอธิบายการเมืองไทยได้ อาจจะมีคนเดียวคือ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข แต่นักวิชาการส่วนใหญ่ก็ไม่รู้เรื่องกองทัพ หรืออาจจะมีนักข่าวที่รู้อย่างคุณวาสนา นาน่วม
แต่สิ่งที่นักรัฐศาสตร์ไทย “กลวง” คือ ไม่รู้เรื่องว่าใครเป็นใครในกองทัพ ไม่มีการทำงานวิจัยจริงจัง คณะรัฐศาสตร์จุฬา-ธรรมศาสตร์ล้าหลัง เพราะการจะเข้าใจการเมืองประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็ต้องเข้าใจว่าสถาบันองค์กรเหล่านั้นเป็นอย่างไร งานวิจัยจริงจังมีน้อยมาก ทำให้นักวิชาการนักรัฐศาสตร์ใช้แต่คอมมอนเซนส์

กรณีที่เกิดขึ้นกับนายทหารระดับสูง(ถูกทำร้ายด้วยอาวุธ) ในวันที่ 10 เม.ย. เป็นเรื่องใหญ่มาก ผมไม่คิดว่าจะมีปรากฏการณ์อันนี้กลางกรุงด้วยซ้ำไป เห็นแล้วเราก็มึนงง
ถ้าเราดูจากสื่อกระแสหลัก ทีวี โทรทัศน์ เราจะไม่มีทางเข้าใจ
เรื่องที่เกิดขึ้นกับระดับพันเอก เป็นเรื่องที่น่าตกใจ อีกด้านเป็นสัญญาณให้เราเห็นว่า
ความขัดแย้งต้องสูงมาก เรื่องแบบนี้พลเรือนโดยทั่วๆ ไป ทำไม่ได้หรอก
เพราะเป็นเรื่องเทคนิค การสงคราม อาวุธยุทโธปกรณ์ระดับสูง
เหตุการณ์มันเกินเลยจินตนาการของเรา ว่าจะเป็นอย่างงี้ แต่มันก็เป็น ฉะนั้น สิ่งที่คนจำนวนมากพูดถึงสงครามกลางเมือง พูดถึงกาลียุค ก็อาจจะเป็นไปได้ ฉะนั้น
เป็นสัญญาณหนึ่ง ลางบอกเหตุ


@ กรณีอดีต 2 นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย แถลงแนวทาง “ขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณปกเกล้าปกกระหม่อมเพื่อคลี่คลายปัญหา”

ผมไม่ค่อยคิดว่าเป็นปัญหานั้น เพราะถ้าเรามองกลับไปมีตัวอย่างที่เห็นชัด
ทำไม “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล” (ผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516) เคลื่อนขบวนจาก...รูปทรงม้าไปสวนจิตรลดา ในประวัติของ 14 ตุลาฯ ใช้คำว่า “เพื่อไปขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง” แสดงว่า คุณชวลิต(พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ) กับคุณสมชาย
นี่ทำตามตามแบบ “เสกสรรค์” ปี 2516 เพื่อขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง
ผมก็เลยไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่ 2 อดีตนายกฯ ไปขอเข้าเฝ้าฯ


@ ไม่คิดว่าขัดแย้งในแง่การอธิบายความคิดทางการเมืองเพราะฝ่ายนี้เคยแสดงความไม่เห็นด้วย
เมื่อครั้ง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอพระราชทานนายกฯตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 7

ไม่หรอกครับ เพราะภาษาไทยมีคำที่ผมชอบและไม่รู้จะแปลเป็นภาษาอังกฤษว่าอย่างไร คำที่ว่า “คนละเรื่องเดียวกัน”


@ เป็นอีกตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าการเมืองไทยซับซ้อนมาก

ซับซ้อนครับ ถึงจบได้ยาก ลงตัวได้ยาก ต่อให้ยุบสภาก็ไม่จบได้ง่ายๆ
ต่อให้ลาออกก็ไม่จบได้ง่ายๆ ต่อให้นองเลือดก็ไม่จบง่ายๆ เกมนี้ยาวมากอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านที่ยาวมากกินเวลาเป็น100ปี ตัวอย่างที่สำคัญคือ
ปี ค.ศ. 1776 เกิดการปฏิวัติอเมริกา ให้เป็น democracy
เพื่อต่อสู้กับ monarchy ของอังกฤษ จบด้วยdemocracy American ชนะ เมื่อแนวคิดว่าด้วยประชาธิปไตยเกิดขึ้นในโลกสมัยใหม่ กลายเป็นกระแสใหญ่ระบาดไปทั่วโลก ถ้าจะเข้าใจปรากฏการณ์สังคมไทยต้องเข้าใจ “ชาติกับชาตินิยม” “ชาติกับประชาธิปไตย” เป็นกระบวนการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเก่าไปสู่สังคมสมัยใหม่
จาก traditional society ไปสู่ modern society ถ้าปรับตัวได้ก็จะทำให้ทั้ง 2 อย่างกลมกลืนไป
อย่างประเทศอังกฤษ แต่ขณะที่ในประเทศฝรั่งเศสมันแตกหัก ตรงนี้สำคัญ
เพราะเมืองไทยกำลังพิสูจน์ว่าเราจะสร้างสังคมใหม่โดยมีประเพณีเก่าไปด้วยกันได้หรือไม่ ซึ่งยุ่งยากซับซ้อน


@ ถ้าเกิดเหตุคล้ายๆ 6ตุลาฯ หรือพฤษภา35 เราจะย่ำอยู่กับที่แบบนั้นไหม

ผมว่ามันไม่ใช่แล้ว เวลาเราพูดถึง พฤษภา35 ตอนนั้นอินเตอร์เนทก็ยังไม่แพร่หลายเลย
เพราะยุคพฤษภา ก็มีแต่กล้องวีดีโอกับแฟกซ์ ส่วนโทรศัพท์มือถือก็ราคาเป็นแสนบาท คนที่มีโทรศัพท์มือถือก็มีไม่กี่คน
แต่วันนี้คนที่มาจากต่างจังหวัดก็มีมือถือใช้แล้ว ณ ปัจจุบัน เราต้องคิดถึงอินเตอร์เนท โทรศัพท์มือถือ มอเตอร์ไซต์ ส่วน 14 ตุลาฯ กับ 6 ตุลาฯ นักศึกษาที่ต่อสู้
ยังต้องใช้กระป๋องนมผูกเชือกส่งข้อมูลให้กันจากตึก อมธ.(องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) แต่เดี๋ยวนี้มีตัวเปลี่ยนโลก คือ
1) อินเตอร์เนท
2) โทรศัพท์มือถือและ
3) มอเตอร์ไซต์
เดี๋ยวนี้ไม่ใช้คำว่า “เดินขบวน” แต่ใช้คำว่า “เคลื่อนขบวน”
ไปแป๊บเดี๋ยวถึง ราบ11
ไปแป๊บเดียวถึงราชประสงค์
ส่วนผู้ดีมีสกุลอยากดูการชุมนุมก็ขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสไป โลกมันเปลี่ยนไปเยอะ


@ แม้จะมีสงครามคลิป แต่ก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมที่ทุกฝ่ายต่างช่วงชิงอธิบายว่าอะไรคือความจริง

การช่วงชิงอธิบายความจริง ในโลกปัจจุบันนี้ รัฐและผู้คุมอำนาจรัฐ ไม่สามารถผูกขาดข้อมูลได้อีกต่อไปแล้ว


@ มีสติ๊กเกอร์ที่ยังไม่รู้ว่าใครทำข้อความ “รัฐไทยใหม่” “ประธานาธิบดีทักษิณ”

มันอาจจะใช้สติ๊กเกอร์แบบใหม่ แต่ message ข้อความ ยังเป็นแบบเก่า เหมือนจ้างคนไปตะโกนในโรงหนังว่า “ปรีดี ฆ่าในหลวง” ก็แบบเดียวกัน คนที่เชื่อก็เชื่ออยู่แล้ว
แต่คนไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ ตอนนี้จึงอยู่ที่การวัดดวง!!!
การผูกขาดข้อมูลทำไม่ได้อีกแล้ว ถ้า elite ไม่สามารถเจรจาตกลงเกี้ยเซี๊ยกันได้ ก็จะทำให้เหตุการณ์ไปไกลถึงปราบปรามนองเลือด แล้วหลังจากนั้น เสื้อแดงส่วนหนึ่งก็จะลงใต้ดินหรือขึ้นไปในโลกไซเบอร์ รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพอย่างจีน ปักกิ่งยังไม่สามารถปิดการใช้อินเตอร์เนทได้เลย ถ้ากลายเป็น “นักรบในไซเบอร์สเปซ” จะน่ากลัว เพราะไม่จำเป็นต้องจับปืนจับอาวุธ แต่อยู่ที่ข้อมูลข่าวสารสร้างวาทกรรมให้คนเชื่ออะไร ผมว่าสำคัญมาก


@ สรุปแล้วหากคุณทักษิณสามารถเกี้ยเซี๊ยกับอีกฝ่ายหนึ่ง จะถือว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่

โดยปกติคนที่อยู่ชั้นนำของสังคม กลุ่ม elite มักจะถ้อยทีถ้อยอาศัยกันประสานผลประโยชน์กันแบ่งกันกิน แต่ถ้าฝ่ายใดจะเอาหมดมันก็ทะเลาะกัน เอาเข้าจริงตรงนี้ elite มันฟัดกันทะเลาะกัน มันรบกันก็ไปหาพวก โดยที่พวกหนึ่งก็ไปหาพวกใส่เสื้อสีเหลือง พวกหนึ่งไปหาเสื้อสีแดง อีกพวกไปหาพวกเสื้อสีชมพู ถ้าไม่ประนีประนอมเกี้ยเซี๊ย ก็ต้องรบกัน โดยธรรมชาติ elite มักจะยอมกันเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกันและกัน


@ ถ้าอย่างงั้นมวลชนที่ถูกปลุกอารมณ์มาเสียขนาดนี้ ก็เป็นธรรมชาติที่ต้องผิดหวัง

- ก็เป็นธรรมชาติ เพราะเขาต้องหาพวก แต่ละพวกก็ต้องหาพวก ทีนี้ถ้าหาพวกแล้วสามารถต่อรองกันได้ ก็จบ
แต่ ณ จุดนี้ ดูเหมือนกับเขาไม่อยากต่อรองเพราะต่างฝ่ายต่างเอาจุดตัวเอง... การเมืองมันคล้ายๆกับการช๊อปปิ้ง มีคนซื้อ-คนขาย ถ้ามันอยากซื้อจริงๆ มันก็ต้องยอมจ่าย หรือคนอยากขายก็ต้องยอมลดราคา แต่ถ้าจะเอาที่ตัวเองตั้งราคาเท่านั้น ในที่สุดก็ตกลงกันไม่ได้ แต่สิ่งแตกต่างกันคือในการเมืองมันไม่ใช่แค่คนสองคน เพราะมันกลายเป็นคนอื่นเดือดร้อนอีกต่างหาก


@ มวลชนบางส่วนอยากจะ “แตกหัก” แต่ถ้าชนชั้นนำเกี้ยเซี๊ยกันได้ ก็กลายเป็น “อกหัก”ไหม

ในการเมือง มีคน “อกหัก” อยู่เรื่อยๆ(หัวเราะ) ผมเห็นเพื่อนนักวิชาการของผมก็อกหักกันเยอะแยะ
ตั้งแต่ 14 ตุลา 6ตุลา พฤษภาฯ อกหักกันเยอะเลย มีคำถามว่า เอ๊ะ! ทำไมคนนั้นได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการโน้นกรรมการนี่ คนนี้ได้เป็นบอร์ดไอ้โน่นบอร์ดไอ้นี่ มีนักวิชาการในหมู่ของผม ผมอยากให้เขียนลงไปด้วย มันตกรถไฟเยอะเลยครับ
พยายามขึ้นรถไฟมันก็ตกรถไฟ น่าสงสารมาก บางคนตกรถไฟตลอดเพราะขึ้นไม่ทัน หรือรถไฟมันมาไม่ถึงหน้าบ้าน ดอกเตอร์ทั้งหลายตกรถไฟไปเยอะเลย ไม่ได้(ตำแหน่ง)อะไร
ตั้งแต่ 14 ตุลาฯจนถึง 19 กันยาฯ กูก็ไม่ได้อีก..โอ้...น่าสงสาร(หัวเราะ) บางคนแก่จะตายก็ยังไม่ยอมเลิก น่าสงสารนะคนที่มันทะเลาะกัน เผลอๆ อายุ70 up เป็นขิงแก่ทั้งนั้น


@ อาจารย์มองทุกเรื่องแบบปลงได้ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรต่อไป

ผมอายุหกสิบกว่าปีแล้ว อะไรที่ผมอยากทำ ผมก็ทำมาหมดแล้ว ผมไม่ต้องแคร์อะไรอีกแล้ว สิ่งที่ผมอยากเรียกร้อง ผมก็ได้เรียกร้องไปแล้ว เหมือนครั้งนี้ถ้านายกฯอภิสิทธิ์ ไม่ยุบสภา ต่อไปเขาอาจจะมาคิดย้อนหลังว่านี่เป็นความผิดพลาด เมื่อครั้งที่ผมลาออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมก็ไม่ได้คิดว่าผมแพ้ ผมกลับคิดว่าการตัดสินใจนั้นถูกต้องแล้ว ไม่ได้รู้สึกด้อยกว่าคนอื่นและรู้สึกเหนือกว่าบางคนด้วยซ้ำ และผมสามารถมองตาทุกคนได้โดยไม่ต้องหลบตา


@ การที่ผู้ชุมนุมยึดราชประสงค์ ขณะนี้

เหมือนไปกุมคอหอยลูกกระเดือก ผมก็ไม่นึกมาก่อน ว่าเขาจะไปยึดราชประสงค์ ผมเคยอยู่ซอยสารสินแต่ก่อนเป็นชานเมือง ตั้งแต่เล็กจนโตก่อนไปซื้อบ้านของตัวเอง...
แต่เมื่อ 2 คืนก่อน ผมกลับไปบ้านที่ซอยสารสิน พบว่าเต็มไปด้วย คนอีสานไปตากผ้าโสร่ง กางเกงใน แถวๆบ้านเรา เออ ตรงนี้ก็แปลก หน้าสยามพารากอน ก็มีนุ่งโสร่งไปอาบน้ำ เอากางเกงในไปตาก เป็นภาพที่ประหลาดมาก ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นก็ได้เห็น ในเมืองไทยของเรา ในกรุงเทพฯ อะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นก็ได้เห็น ส่วนอะไรที่เราเคยได้เห็นมาตลอดชั่วชีวิต ก็อาจจะไม่ได้เห็นอีกต่อไป