ที่มา Thai E-Newsเต็มยศ-พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีไทยใส่เครื่องแบบเต็มยศเข้ารายงานตัวต่อศอฉ.เมื่อช่วงสายวันนี้ เพื่อปกป้องตัวเองกรณีศอฉ.กล่าวหาว่าเขาเป็นผู้นำสำคัญในขบวนการล้มเจ้า และฝากเตือนนายอภิสิทธิ์เลิกสั่งทหารปราบปรามประชาชน (ภาพข่าว:AP)
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
30 เมษายน 2553
หมายเหตุ:เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมที่เป็นธรรมซึ่งประกอบ ด้วยนักกฏหมาย นักปรัชญา นักสังคมวิทยา นักวิชาการอิสระ ผู้บริหาร อดีต สสร เป็นต้น ได้ออก แถลงการณ์ฉบับที่ 3 เพื่อเรียกร้องรัฐบาลและกลุ่มผู้ชุมนุมให้ร่วมกันคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมือง ดังรายละเอียดต่อไปนี้
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมที่เป็นธรรม( Scholars’ Network for a Just Society )แถลงการณ์ฉบับที่ 3
เรื่อง การคลี่คลายสถานการณ์บ้านเมืองให้เข้าสู่ความสงบสันติ
ตามที่รัฐบาลประกาศใช้ พรก. สถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง และใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมทางการเมือง แต่ไม่อาจยุติปัญหาและควบคุมสถานการณ์ได้ กลับทำให้ปัญหาขยายขอบเขตออกไปมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ทั้งยังมีการก่อเหตุความรุนแรงมาโดยตลอดหลายครั้งหลายหน และนายกรัฐมนตรียังมิได้แสดงความรับผิดชอบใด ๆ ต่อผลที่เกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลยังแสดงท่าที และพยายามใช้กำลังที่มีอาวุธร้ายแรงเข้าสลายการชุมนุมอีก
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ขอประณามการก่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะเหตุการณ์ในวันที่ 10 และวันที่ 22 เมษายน พร้อมทั้งขอแสดงความเสียใจต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ และเจ้าหน้าที่ทหารที่ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ที่รุนแรงและความขัดแย้งซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบต้องเร่งสืบสวนหาผู้กระทำความผิดมาลงโทษโดยเร็ว
ทั้งนี้ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมือง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมที่เป็นธรรมพร้อมกลุ่มผู้สนับสนุนการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีจึงขอเรียกร้อง ดังนี้
1.รัฐบาลและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรยอมรับความจริงว่ากลุ่มผู้ชุมนุม นปช. และผู้สนับสนุนมีเป็นจำนวนมากและหนทางในการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีก็ด้วยวิถีทางการเมืองและกระบวนการเจรจาเท่านั้น หาใช่การใช้กำลังเข้ากดดันหรือการให้ร้ายป้ายสีและใช้สื่อปลุกปั่นสร้างความจงเกลียดจงชังต่อกันและกันไม่
2.รัฐบาลควรตระหนักว่าการใช้กำลังเข้าสลายชุมนุมแม้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐจะพกพาอาวุธและกระสุนจริงเพื่อป้องกันตัว แต่วิญญูชนย่อมเล็งเห็นถึงผลแล้วว่าหากเกิดการปะทะกันและเกิดการพลาดพลั้งหรือมีผู้ใช้อาวุธก่อความรุนแรงก็จะทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายอีกและจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้าย และอาจบานปลายถึงขั้นเกิดการจลาจลขึ้นทั่วประเทศ
3.รัฐบาลควรยกเลิกการบังคับใช้พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในฯ และ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ และการใช้กำลังทหาร เพราะการออกประกาศหรือข้อกำหนดที่เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนดังกล่าวและการใช้กำลังทหารจำนวนมากตามที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานครเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าไม่สามารถป้องกันเหตุร้ายได้เลย เช่น การระเบิดที่สีลมมีประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิต ทั้งยังทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสมือนตกอยู่ในภาวะสงครามหรือการรัฐประหาร
4.นายกรัฐมนตรีควรแสดงความรับผิดชอบของตนเองในคำสั่งให้สลายการชุมนุมจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก โดยการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อแสดงจริยธรรมทางการเมือง ซึ่งก่อนมาดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีได้เคยเรียกร้องให้บุคคลอื่นแสดงความรับผิดชอบทำนองเดียวกันนี้มาแล้ว และเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้อื่นมาทำหน้าที่แก้ไขสถานการณ์บ้านเมืองทั้งนี้ ถือได้ว่านายกรัฐมนตรีมิได้กระทำตามการเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ต้องการให้ยุบสภาแต่ประการใด
5.รัฐสภาควรทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังเพื่อเป็นกลไกในการแก้ปัญหาขัดความแย้งที่เกิดขึ้นในชาติ
5.1เร่งดำเนินการแต่งตั้งกรรมาธิการและอนุกรรมาธิการสอบสวนกรณีการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน และเหตุระเบิดที่บริเวณถนนสีลมเมื่อวันที่ 22 เมษายน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีผู้เสียชีวิต เพื่อทราบผู้กระทำผิดที่แท้จริง และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
5.2หากนายกรัฐมนตรีลาออก สภาผู้แทนราษฎรควรเลือกบุคคลที่สามารถประสานกับทุกฝ่ายได้ มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่รวมทั้งดำเนินการเจรจากับแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อนำไปสู่การยุบสภาโดยเร็ว และเพื่อการเลือกตั้งโดยสันติต่อไป
6.พรรคการเมืองแต่ละพรรคควรแถลงจุดยืนต่อสถานการณ์และวิธีการแก้ปัญหาในระยะสั้นและในระยะยาวเพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้รับทราบอย่างเป็นทางการ ทั้งควรร่วมกันช่วยคลี่คลายสถานการณ์โดยยินยอมมอบการตัดสินใจทางการเมืองคืนกลับไปสู่ประชาชนทั้งประเทศให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
7.กลุ่มผู้ชุมนุมนปช.ควรหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆนอกเหนือจากการชุมนุมด้วยความสันติอหิงสาและการป้องกันสิทธิของตนตามสมควรแก่เหตุโดยระวังไม่ให้มีการละเมิดสิทธิประชาชนทั่วไป ขยายขอบเขตการชุมนุม ปิดกั้นหรือขัดขวางช่องทางจราจรของรถพยาบาล หรือการให้บริการของรัฐ
8.กลุ่มผู้ชุมนุมนปช.ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันกับผู้ชุมนุมกลุ่มอื่นเพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงมิให้กระทบกระทั่งกัน ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาก่อเหตุการณ์แทรกซ้อน
9.ในกรณีที่มีการยกเลิกการบังคับใช้ พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในฯ และ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ และรัฐบาลยุติการปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน นายกรัฐมนตรีลาออกและมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่พร้อมเจรจาแนวทางยุบสภากับกลุ่มผู้ชุมนุมนปช. แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมนปช.ควรประกาศยุติการชุมนุมทันที
นอกจากข้อเรียกร้องดังกล่าวข้างต้นแล้ว เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมที่เป็นธรรมขอยืนยันข้อความในแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ที่ว่า ในระยะยาวทุกฝ่ายรวมถึงประชาคมวิชาการต้องร่วมกันสร้างสรรค์สังคมบนพื้นฐานของหลักการประชาธิปไตย หลักคุณธรรมจริยธรรม หลักนิติธรรม หลักความเสมอภาค ให้เป็นสังคมที่ปราศจากความอยุติธรรมซึ่งเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้ง
ละเว้นการกระทำการใด ๆ ที่มุ่งสู่ผลโดยมิได้คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรมของวิธีการ ทั้งนี้ เพื่อให้สังคมไทยมีแต่ความสงบสันติสืบไป
ผู้ประสานงานเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมที่เป็นธรรมชวลิต หมื่นนุช มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
วรยุทธ ศรีวรกุล คณะปรัชญาและศาสนา มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
เสถียรภาพ นาหลวง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
บัญชา สกุลดี มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
ชาญ มายอด ศูนย์จริยธรรมวิชาชีพ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ