ที่มา บางกอกทูเดย์ “และการที่พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ได้ทำตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี ที่ได้สั่งให้กระทำ โดยที่มิได้ยับยั้งการกระทำที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน ตามวิสัยของข้าราชการตำรวจที่มีหน้าที่พิทักษ์สันติราษฏร์ จนเกิดความเสียหายดังกล่าว การกระทำหรือละเว้นการกระทำ ของพล ตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่า เป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และฐานละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 79(5)(6) และมีมูลความผิดทางอาญาฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 157” ตำรวจเกียร์ว่าง7 ตุลาคม 2551...วันที่ผู้รักษากฏหมายต้องกลายเป็นผู้ต้องหา..และดูเหมือนว่า นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน..ได้..เร่งรัดและกล่าวหาว่า..พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าเหตุการดังกล่าวเกิดขึ้นจากการสั่งการและปฏิบัติการรุนแรงเกินกว่าเหตุ ตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงยามวิกาล ในที่สุดนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ได้ขอให้..สอบสวนเอาความผิดเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดต่อไป...จาก 7 ตุลาคม 2551...จนถึง 10 เมษายน 2553...ต่าง กันแต่ว่า..มีความสูญเสียมากขึ้นทั้งชีวิตและทรัพย์สินของทางราชการ..วันที่ 7 ตุลาคม..ม็อบเดินทางจากที่ตั้งไปปิดล้อมรัฐสภา..เพื่อขัดขวางการแถลงนโยบาย..แต่ 10 เมษายน 2553 ผู้รับคำสั่งจากรัฐบาล..เดินทางออกไปหาม็อบ..มีความแตกต่างกันทั้งในรูปแบบและเนื้อหา..ไม่เหมือนกันในพฤติกรรมที่ปราศจากรัฐธรรมนูญรองรับกับมีรัฐธรรมนูญรองรับ..รูปแบบของการใช้แก๊สน้ำตาที่เหมือนกันแต่ต่างกันที่รถถังยานหุ้มเกราะและปืนกลประจำกาย..ทำถูกก็ผิด ได้..แล้ววันนี้จะให้ตำรวจ..ไปตายกับติดคุกหรือถูกไล่ออก...อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ...วานไตร่ตรอง..ท่านเองมิใช่หรือที่..เป็นตัวตั้งตัวตีให้เอาผิดกับตำรวจเมื่อ 7 ตุลาคม 51...ตำรวจกับทหารก็เหมือนกัน..เขามีหน้าที่..เข่นฆ่าไล่จับผู้ร้าย..และปกป้องคุ้มครองราชอาณาจักรและประชาชน..จะให้เขา..ใส่เกียร์เดินหน้า.ฆ่าประชาชนคนมือเปล่า..เขาถึงต้องใส่เกียร์ว่าง..ที่ต้องระวังเขาจะใส่เกียร์ถอยหลัง..คนสั่งจะไปติดคุกยกรังกันเปล่าๆ