ที่มา บางกอกทูเดย์ ศอฉ.สืบหาหลักฐานดังกล่าวมาได้อย่างไร หลักฐานเหล่านั้นจะถูกนำเสนอต่อสาธารณะหรือไม่ หรือว่าหลักฐานเหล่านั้นจะถูกจัดวางให้อยู่นอกเหนือจากการรับรู้ของผู้คนที่ตั้งคำถามต่อความสัตย์จริงของมัน นี่คือคำถามและปฏิกริยาที่เกิดขึ้น ซึ่งนายอภิสิทธิ์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสดับรับฟัง เพราะนี่เป็นมุมมองอิสระของสื่อต่างชาติ ที่มีการเผยแพร่ออกไปทั่วโลกถือว่าเกี่ยวพันกับภาพลักษณ์ของรัฐบาลไทยโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ ไม่ควรที่จะเพิกเฉย ความน่าเชื่อถือ อยู่ที่ข้อเท็จจริงและการกระทำที่แสดงออกมา ไม่ใช่เพียงแค่คำพูด หรือการใช้วาทะที่สวยหรูหรือฟังแล้วดูดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่สังคมตกอยู่ในภาวะของการแตกต่างทางความคิดอย่างมากเช่นในขณะนี้ แต่ละกลุ่มแต่ละฝ่ายไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเสื้อสีอะไรก็ตาม หรือแม้แต่กระทั่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลล้วนมีหน้าที่ในการที่จะต้องนำเสนอข้อเท็จจริงและเหตุผลที่เป็นความจริงเท่านั้น จึงจะช่วยผ่อนคลายโอกาสเสี่ยงใน การเกิดวิกฤติได้ ที่สำคัญหากทุกฝ่ายพูดแต่ความเป็นจริง นำเสนอแต่ข้อมูลที่เป็นจริง โอกาสที่จะก่อให้เกิดการเจรจาเพื่อได้ข้อยุติที่จะหยุดวิกฤติของบ้านเมืองก็จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนขณะเดียวกันหากให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เสมอภาคกันของทุกกลุ่มทุกฝ่าย ไม่มีการปิดกั้นใดๆ ทั้งสิ้นไม่ว่าข้อมูลจากกลุ่มใดก็ตาม ประชาชนก็จะได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนมากเพียงพอที่จะวิเคราะห์ตัดสินใจได้มาถึงวันนี้ หากยิ่งปิดๆ บังๆ หรือมีการปิดกั้นก็จะยิ่งเหมือนการยั่วยุ แล้วปัญหาก็จะไม่จบอย่างแน่นอนดังนั้น นี่คือ หัวใจหลักที่คงต้องสะกิดเตือนให้รัฐบาลตระหนักถึงความจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการหยุดปิดกั้นสื่อที่จะกลายเป็นเหมือนยิ่งว่ายิ่งยุและการถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลที่จะเปิดเผยออกมา ไม่ว่าจะในนามของรัฐบาล หรือในนามของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)จะต้องถูกต้อง แม่นยำ และเป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น จึงจะเกิดผลดีทั้งต่อการยอมรับ และต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นผู้กุมกลไกอำนาจบริหารสูงสุดในขณะนี้นายอภิสิทธิ์ ในวันนี้ต้องการภาพความสง่างามที่เป็นความจริงเท่านั้น จึงจะสามารถฝ่าวิกฤติในรอบนี้ไปได้ และยืนหยัดบนถนนการเมืองได้อีกยาวนาน เพราะเป็นผู้ที่มีความพร้อมทั้งชาติตระกูล อายุ การศึกษา และหน้าตาจึงไม่ควรที่จะมาพลาดพลั้งสะดุดขาตัวเองจนตกเวทีการเมืองไปเร็วกว่าที่ควรจะเป็นดังนั้น วันนี้นายอภิสิทธิ์ จะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ของ ศอฉ. ให้รอบคอบถี่ ถ้วนก่อนที่จะให้มีการแถลง หรือมีการนำเสนอต่อสังคมอย่างกรณีเผือกร้อนล่าสุด คือ การเปิดเผยแผนผัง “เครือข่ายล้มสถาบัน” ของ ศอฉ.ที่เผยแพร่ออกมานั้น แม้ว่าในมุมมองของ ศอฉ. อาจจะถือว่าเป็นประเด็นแรง ที่สามารถกระชากเรตติ้งของ ศอฉ. ได้เป็นอย่างดีเพราะสำหรับประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือแม้แต่ในวินาทีนี้ คนไทยทุกคนไม่ว่าเชื่อชาติใด ใส่เสื้อสีใด ภายใต้ร่มเงาพระบรมโพธิสมภารแล้ว เรื่องของความจงรักภักดีสูงสุดต่อสถาบันแล้ว ไม่มีใคร ยอมใคร ไม่มีใครเทิดทูนหรือจงรักภักดีน้อยกว่าใครอย่างแน่นอนดังนั้น การที่ ศอฉ. มองในแง่บวกด้านเดียวในการที่จะสร้างเรตติ้งเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม ถือว่าเป็นการที่สุ่มเสี่ยงและหมิ่นเหม่เป็นอย่างมากหากข้อมูลที่เปิดเผยออกมานั้นมีจุดอ่อนแถมในกรณีนี้เป็นจุดอ่อนที่น่าเป็นกังวลเป็นอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่บรรดาสื่อต่างชาติ ยังมีการตั้งคำถามเรื่องรายชื่อ “เครือข่ายล้มเจ้า” เลยว่า จริงๆ แล้วมีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่เพราะดูแล้วมีแนวโน้มและความเป็นไปได้อย่าง มากในการที่อาจจะนำไปสู่การปราบปรามคนเสื้อแดง อย่างสำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานชัดเจนว่า ในขณะที่ทางตันของวิกฤติการณ์การเมืองในประเทศไทยกำลังไร้ทางออกมากยิ่งขึ้น รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เริ่มกล่าวโทษแกนนำของกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนว่า ต้องการล้มล้างสถาบัน แต่กลุ่มคนเสื้อแดงได้ปฏิเสธข้อหาดังกล่าวโดยผู้นำกลุ่มคนเสื้อแดงมักจะแสดงว่าตนเองมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้กล่าวโทษองคมนตรีบางคนว่า เข้ามาแทรกแซงการเมืองและมีส่วนในการก่อรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพื่อโค่นล้มรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนักวิเคราะห์บางคนเห็นว่าการกล่าวโทษแกนนำเสื้อแดงด้วยข้อหาหมิ่นสถาบัน ถือเป็นความพยายามในการแสวงหาแรงสนับสนุนจากสาธารณชนที่จะอนุญาตให้เกิดการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างรุนแรง คล้ายคลึงกับการกล่าวโทษและปราบปรามขบวนการนักศึกษาในช่วงปี 2516-2519นี่คือ รายงานข่าวของรอยเตอร์ขณะเดียวกันที่เว็บ ล็อกนวมณฑลของมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ก็ได้มีการอ้างอิงข่าวจากเว็บไซต์มติชนออนไลน์ที่ระบุว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กล่าวถึงการดำเนินการกับบุคคลที่มีชื่อปรากฏในเอกสารโครงข่ายล้มสถาบันที่จัดทำโดยศอฉ. ว่า จะดำเนินการตามกฎหมายทุกอย่าง ถ้าใครที่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ก็จะออกหมายจับกุมตัว หากจำเป็นก็จะออกประกาศห้าม บุคคลเหล่านี้ออกนอกราชอาณาจักรไทย เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในเอกสารดังกล่าวเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีจะดำเนินการอย่างไร นายสุเทพกล่าวว่า “เป็นใครก็ทำทั้งนั้น ไม่ยอมให้ใครละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นที่เคารพรักของพี่น้องประชาชน”จากข่าวดังกล่าว เอลิซาเบธ ฟิทซ์เจอรัลด์ นักเขียนรับเชิญของเว็บล็อกนวมณฑล ได้ตั้งคำถามถึงการให้สัมภาษณ์ของรองนายกรัฐมนตรีว่า หลักฐานชนิดใดที่นายสุเทพ จะนำมาใช้ยืนยันถึงความ ผิดของกลุ่มคนดังกล่าวได้อย่างเพียงพอ? ศอฉ. สืบหาหลักฐานดังกล่าวมาได้อย่างไร? หลักฐานเหล่านั้นจะถูกนำเสนอต่อสาธารณะหรือไม่? หรือว่าหลักฐานเหล่านั้นจะถูกจัดวางให้อยู่นอกเหนือจากการรับรู้ของผู้คนที่ตั้งคำถามต่อความสัตย์จริงของมัน?นี่คือคำถามและปฏิกริยาที่เกิดขึ้น ซึ่งนายอภิสิทธิ์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสดับรับฟัง เพราะนี่เป็นมุมมองอิสระของสื่อต่างชาติ ที่มีการเผยแพร่ออกไปทั่วโลกถือว่าเกี่ยวพันกับภาพลักษณ์ของรัฐบาลไทยโดยตรงอย่างหลีก เลี่ยงไม่ได้ จึงต้องถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ ไม่ควรที่จะเพิกเฉยที่น่าเป็นห่วงก็คือ เวลานี้เอกสารผังเครือข่ายล้มสถาบันของ ศอฉ. ไม่เพียงหมิ่นเหม่และทำให้เกิดคำถามในสังคมมากมาย แม้แต่ความน่าเชื่อถือของเอกสารก็ยังเกิดผลกระทบ ว่า น่าเชื่อถือได้เพียงใด เพราะมีกรณีผิดพลาด เหมือนกับคนเขียนไม่รู้ลึก ไม่รู้จริงนั่นก็คือ กรณีที่แผนผังดังกล่าวมีการระบุว่า “แหล่งรวมของผู้โพสต์ข้อความต่อต้านสถาบันนั้นอยู่ที่เว็บไซต์ฟ้าเดียว กัน/คนเหมือนกัน โดยมีผู้นำทางความคิด คือ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผ่าน อดีตภรรยานามสกุล ชินวัตร”พลันที่ ศอฉ. เผยแพร่เอกสารออกมา นายสมศักด์ ก็ได้โพสต์กระทู้แสดงความคิดเห็นต่อแผนผังดังกล่าวของศอฉ. ลงในเว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อหาดังต่อไปนี้ชื่อกระทู้ “เฮ้ ไชโยๆๆ เพิ่งรู้ว่า ผม “สายตรง” ถึงแม้วได้ว่ะ ไว้ว่างๆ ขอเงินใช้ มั่งดีก่า “สายตรง” ยิ่งกว่า วีระ นะเว้ย ขอบอก”เนื้อหาในกระทู้ บอกว่า เห็นข่าวแฉ “เครือข่ายล้มสถาบัน” ตอนแรก ก็ไม่ได้สนใจมาก แต่ว่างๆ เลยโหลดมาดู อ้าว! เฮ้ย มีชื่อของข้าพเจ้าด้วยว่ะ เอิ๊กๆๆ ขำจนเกือบตกเก้าอี้ ที่ขำมากไม่ใช่อะไรตามแผนภูมินี้ ผม “สายตรง” ยิ่งกว่า วีระ มุสิกพงศ์ เสียอีก เพราะชื่อผมมีเส้นโยงกับทักษิณ ตรงเส้นระหว่างชื่อผมกับชื่อทักษิณน่ะ เหมือนกับมีคำว่า "นามสกุล ชินวัตร"?เท่านั้นก็กลายเป็นเรื่องตลก ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ในพลเมือง เน็ตทันทีว่า นายสมศักดิ์ มีอดีตภรรยานามสกุลชินวัตรหรือเปล่า??? หรือว่าเคยมีกิ๊กนามสกุล ชินวัตรหรือไม่??? ซึ่งนายสมศักดิ์ ตอบคำถามเหล่านี้ว่า อย่าว่าแต่ “อดีตภรรยา” หรือ “กิ๊ก” เลยครับ ในชีวิต 52 ปี นี่ไม่เคยแม้แต่เจอตัวหรือคุยกับใครที่นามสกุลชินวัตร เลย... ถ้าเคยเจอตัวหรือคุย ผมต้องจำได้แน่นอน นามสกุลดังขนาดนี้ สมัยผมเด็กๆ เคยแต่ได้ยินชื่อ “ชินวัตร ไหมไทย”พร้อมกับเห็นพ้องกับความเห็นในกระทู้ว่า ศอฉ. คงต้องการให้ตรงนี้ (อดีตภรรยานาม สกุล “ชินวัตร”) หมายถึง คุณหญิงพจมาน แต่ครั้นจะเขียนชื่อตรงๆไป ก็คงกลัวถูกฟ้องร้อง ก็เลย เขียน “อดีตภรรยา นามสกุล ชินวัตร” พูดง่ายๆ แผนภูมิ ตรงนี้ ต้องอ่านมาจากชื่อ “ทักษิณ” ไม่ใช่จาก “สมศักดิ์” (ส่วนอีกเส้น “ผู้นำทางความคิด” นั่นคงอ่านมาจากชื่อผมแหละ)ปล. อย่างที่บอกว่า คนนามสกุล ชินวัตร นี่ ผมเกิดมาไม่เคยเจอตัว อย่าว่าแต่พูดคุยหรือ มีสายสัมพันธ์ แต่ถ้าหมายถึงคุณพจมาน และพูดถึงเรื่องนามสกุลกัน ในชีวิต ผมเคยคุยกับคนนามสกุล “ณ ป้อมเพชร” (นามสกุลเก่า/ปัจจุบัน คุณพจมาน) คนนึงจริงๆ คือ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ (ณ ป้อมเพชร) ผมเคยเขียนเล่าเรื่องนี้ไว้เหมือนกัน สงสัยว่า ศอฉ. หรือ สปายของ ศอฉ. บังเอิญได้อ่าน แล้วจับแพะชนแกะ แบบนี้หรือเปล่า เพราะไม่งั้น นึกไง ก็นึกไม่ออกว่า ผมจะ “สายตรง” กับ คุณพจมาน ได้ไง เกิดมาไม่เคยเจอเหมือนกันบางกอก ทูเดย์ นำความจริงมาสะท้อนให้กับนายกฯ อภิสิทธิ์ ได้เห็นถึงความไม่รอบคอบของเอกสาร ที่กลายเป็นสร้างภาพของความไม่น่า เชื่อถือตามมา ซึ่งนับเป็นอันตรายอย่างยิ่งเพราะหลังจากเผยแพร่เอกสารนี้โดย พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิดแล้ว นายสุเทพ ก็พูดตาม รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ ก็พูดเออออเป็นจริงเป็นจังไปด้วยเมื่อเอกสารผิดพลาด เมื่อสื่อต่างชาติตั้งข้อสังเกตออกมาในแง่ลบคงต้องถามว่า แบบนี้คุ้มกันหรือไม่???ทำไมไม่เลือกสันติวิธี เจรจากันเพื่อหาทางออกเพื่อประเทศชาติไม่ดีกว่าหรือ... ถามจริง!!!