ที่มา ไทยรัฐ เหตุการณ์ปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่บริเวณ อนุสรณ์สถาน จนมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บอีกกระทอก ส่งสัญญาณว่าวิกฤติบ้านเมืองกำลังฝังรากลึกและจะแปรสภาพเป็น สงครามกลางเมือง ในเร็วๆนี้ โดยเฉพาะการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่เพราะฝีมือพวกเดียวกันเอง สิ่งที่ประจักษ์ก็คือการทำงานของเจ้าหน้าที่หละหลวมและเต็มไปด้วยความหวาดระแวง หมัดเหล็ก
รวมทั้งมีการใช้กระสุนจริงในการสลายการชุมนุม
ควันหลงที่ตามมาก็คือ ศอฉ.ได้ออกมาแถลงข่าวใหญ่โตว่าสนธิกำลังกับกองทัพอากาศตรวจค้นผู้ต้องสงสัยพบจักรยานยนต์ มีพิรุธ เข้าตรวจค้นเจอระเบิดเอ็ม 79 จำนวนมาก นำหลักฐานมาโชว์หรา ทั้งยังระบุด้วยว่าเจ้าของรถจักรยานยนต์ดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล
การเร่งออกมาแถลงข่าวของ ศอฉ.โดยที่ยังไม่มีการสืบสวนสอบสวนอย่างชัดเจนถือว่าอันตรายและถูกมองว่า ศอฉ.ต้องการสร้างความชอบธรรม ในการที่จะใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมในข้อหาก่อการร้าย โดยที่ ศอฉ.ลืมนึกไปว่าในทางตรงกันข้าม สำนักข่าวต่างประเทศนำภาพข่าวดังกล่าวไปเผยแพร่ทั่วโลก ระบุว่ารัฐบาลไทยกำลังต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย
อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยตามมาบ้าง
อย่างน้อยภาพพจน์ในสายตาชาวโลก ประเทศไทยไม่เหลือความปลอดภัยอีกต่อไป ถูกจัดให้เป็นโซนอันตราย ในด้านยุทธวิธี ก็ยิ่งจะเป็นการชี้ให้ชาวบ้านเห็นว่า วิกฤติการเมืองเข้าสู่จุดอันตรายร้ายแรง ชาวบ้านอยู่บนความหวาดวิตกและกังวลต่ออนาคต สุดท้ายก็กระทบไปถึงเรื่องของเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คำว่า ทหารแตงโม หรือตำรวจมะเขือเทศ อาจจะฟังดูแล้วไม่มีพิษมีภัย แต่ถ้าวิเคราะห์ให้ดี รัฐบาลต้องตระหนักว่า เสถียรภาพของรัฐบาลมีอยู่มากน้อยแค่ไหน ในเมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาต่อต้านขัดขืนอย่างรุนแรงขนาดนี้ สุดท้ายก็จะมีผลต่อกลไกในการบริหารประเทศไปโดยปริยาย
การทำงานก็จะไร้ประสิทธิภาพ
วันนี้รัฐบาล วันนี้ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ ว่าสิ่งที่จะตัดสินใจต่อไปนี้จะเป็นการนำพาให้ประเทศรอดพ้นจากวิกฤติ
หรือเป็นการเอาตัวรอดของรัฐบาล
และวันนี้คงไม่ต้องตามไปโทษคนที่อยู่ต่างประเทศให้เมื่อยตุ้ม เนื่องจากพิสูจน์แล้วว่าจนบัดนี้แม้ไม่มีคนที่อยู่ต่างประเทศ สถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองก็จะดำเนินต่อไป
เพราะการต่อสู้ครั้งนี้เกิดจากวิกฤติการเมือง เป็นการต่อสู้ ด้วยลัทธิและอุดมการณ์ เป็นการดิ้นรนที่จะหลุดพ้นจากความไม่เท่าเทียม ไม่เสมอภาค และไม่มีมาตรฐาน
ไปสู่จุดสมดุล.