WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, May 26, 2010

"บัณฑิตแม่ฟ้าหลวง"ควักลูกตาทิ้งถูก"กระสุนยาง"ยิงจน"บอด"

ที่มา มติชน

โดย ชฎา ไอยคุปต์


ภาพหลังควักลูกตาออกแล้ว

ภาพก่อนเสียดวงตา

ขณะถูกยิงตาบอด

10 เมษายน 2553 ครอบครัวอินจันทร์ กำลังขมักเขม้นกับการปรุงอาหารในครัวเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ขณะนั้นหนุ่มวัย 24 ปี"สันติพงษ์ อินจันทร์" หรือ "เบิ้ด" ลูกชายคนเล็กและคนเดียวของครอบครัวที่เพิ่งรับปริญญาจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเมื่อ 3 เดือนก่อน เข้ามาเร่งพ่อครัวแม่ครัวที่กำลังปรุงอาหารหลังจากเปิดดูข่าวทางอินเตอร์เน็ตแล้วทราบว่าจะมีการขอพื้นที่คืน


พ่อแม่ลูกเคลื่อนออกจากบ้านไปสมทบกับผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงด้วยความหวังเพียงว่าจะไปช่วยเติมคนให้ดูแน่นๆเจ้าหน้าที่จะได้ไม่เข้ามาสลายการชุมนุมหลังทหารเลิกปฏิบัติการก็กลับบ้านกันตามปกติเหมือนกับทุกๆวัน


แต่แล้วทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเมื่อหนึ่งในสมาชิกของบ้านถูกกระสุนยางยิง "ตาแตก" จนต้องสูญเสียการมองเห็นเพราะต้องควักลูกตาขวาทิ้ง

"ตอนนั้นจิตใจผมแย่มากพอรู้ว่าต้องเสียดวงตาที่อยู่กับเรามา 24 ปี แต่ได้กำลังใจจากพี่น้องคนเสื้อแดงที่มาเยี่ยม และมองเห็นคนอื่นที่สูญเสียมากกว่าผม บางคนต้องตายอย่างตัวผมโดนแค่นี้ ถ้าเป็นกระสุนจริงก็คงตายไปแล้ว แต่คนอื่นที่โดนยิงจนเสียชีวิตญาติพี่น้องเขาสูญเสียกว่าผมเยอะ พอกลับมาดูตัวเองแล้วรู้สึกว่ามันยังไม่เท่าไร แต่คนที่ตายไปมันร้ายแรงกว่าเยอะทำให้ผมต้องลุกขึ้นมาสู้ สู้เผื่อพวกเขาด้วย" เสียงของ"สันติพงษ์"บอกเล่าความรู้สึกว่าต้องนั่งมอนิเตอร์ข่าวทั้งวันทั้งคืนเพื่ออัพเดทสถานการณ์การชุมนุมทั้งที่ตายังเจ็บอยู่และต้องลุกขึ้นมาหยอดตาทุก 4 ชั่วโมง


"สันติพงษ์"กลายเป็นมนุษย์ตาเดียวกำลังเรียนรู้จับทิศทางการเคลื่อนไหวเพื่อประคองตัวเองด้วยตาซ้ายที่เหลืออยู่ข้างเดียวแถมยังเอียงอีกด้วย อาจต้องอาศัยเวลากว่าจะชินแต่หนุ่มคนนี้ไม่เคยท้อแท้เพราะเขาเชื่อว่าชีวิตเขายังต้องก้าวเดินต่อไปอีกเพื่อดูแลครอบครัวและสร้างครอบครัวใหม่ของเขาเองในฐานะลูกผู้ชายคนหนึ่ง และต้องแสดงความเข้มแข็งออกมาภายใต้แว่นตาดำปกปิดเบ้าตาลึกโบ๋ไร้ลูกตาเพื่อปลอบประโลมแม่ผู้ที่ยังทำใจกับอาการ"ทุพพลภาพ"ของลูกชายไม่ได้


นายสันติพงษ์ เล่าวถึงครอบครัวว่า มีพี่สาว 1 คน พ่อทำงานรัฐวิสาหกิจใกล้จะเกษียณแล้วแม่ไม่ได้ทำงานเป็นแม่บ้าน ต่อจากนี้ไปเป็นหน้าที่ของตนกับพี่สาวผมที่ต้องหาเลี้ยงครอบครัวและสร้างครอบครัว หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ และกำลังหางานทำแต่ก็มาเกิดเหตุการณ์ขึ้นก่อน ในวัยที่จะต้องดูแลตัวเอง เลี้ยงตัวเอง ทำงาน สร้างครอบครัว จะมานั่งฟูมฟายว่าเสียตาไปแล้วชีวิตจะจบแค่นี้ก็ไม่ได้ ก่อนจะหันไปกอดเพื่อปลอบใจแม่ที่ยังทำใจไม่ได้


"ต้องทำใจมากทีเดียวครับต่อไปนี้จะมองไม่เห็นแล้วจะมองเห็นข้างเดียว แต่ยังไงก็ต้องยอมรับมันให้ได้เพราะมันเกิดขึ้นไปแล้วเราเอากลับคืนมาไม่ได้ ตอนที่รู้สึกว่าไม่มีดวงตาแล้ว ใจหายครับ... เพราะมองด้วยตาทั้งสองข้างมา 24 ปี แล้วอยู่มาวันหนึ่งต้องมองด้วยตาข้างดียวมันไม่ถนัด ทุกวันนี้ยังไม่ชินเดินไปชนโน่นชนนี้ ยังปรับตัวไม่ได้เท่าไรถามว่าเสียใจไหมเสียใจ"


ย้ำว่า "แต่การสูญเสียดวงตาของผมครั้งนี้ทำให้รู้ว่าผมไปมือเปล่าๆ มีแค่ขวดน้ำกับผ้าแล้วมายิงผมทำไม"


"พอย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายนก็เสียใจ ตอนนั้นผมกับที่บ้านนั่งเตรียมทำอาหารอยู่ที่บ้านเพื่อไปแจกผู้ชุมนุม ระหว่างนั้นก็ดูข่าวในอินเตอร์เน็ตไปด้วยว่ามีทหารเข้ามาประชิดเพื่อจะขอพื้นที่คืน มาสลายการชุมนุมที่ราชดำเนิน จึงได้ชวนพ่อกับแม่ไปช่วยกันตอนที่ไปถึงพื้นที่การชุมนุมประมาณบ่ายสองโมง พ่อกับแม่ไปอยู่ตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ส่วนผมได้ยินเขาประกาศว่าให้ผู้ชายไปช่วยผลักดันทหารที่แยกคอกวัว จึงแยกตัวออกไป แล้วไปนั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่บ่าย 2-3 โมงเย็น ตอนนั้นยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทหารนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งส่วนเรากับผู้ชุมนุมก็นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง มีระยะห่างกันพอสมควร" เบิ้ด เล่าอย่างละเอียด


"กระทั่งเวลาประมาณ 4-5 โมงเย็น มีแก๊สน้ำตาโปรยลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ จากนั้นลมพัดแก๊สน้ำตาเข้ามาทั้งผู้ชุมนุมและทหารโดนกันหมด วงแตก จึงแยกย้ายกันไปล้างหน้า จากนั้นก็มารวมตัวกันใหม่ตอนนั้นยังไม่มีเหตุการณ์อะไร ยังคงร้องรำทำเพลงกันตามปกติ โดยทั้ง 2 ฝั่งต่างก็มีรั้วกั้นเป็นรั้วเหล็กสีเหลืองของ กทม. เอาเชือกมามัดให้แน่นหนา เวลา 18.00 น.ทุกคนยืนตรงเคารพธงชาติ พอสักพักทหารเข้ามาเปลี่ยนผลัดกันแกนนำได้เข้าไปถามว่ามีอะไรหรือ ซึ่งทางทหารก็บอกว่าไม่มีอะไรแค่ผลัดเปลี่ยนกำลัง


แกนนำจึงไปนำเอาพระบรมฉายาลักษณ์มาตั้งโดยใช้ผ้าขาวปูเพื่อแสดงว่าคนเสื้อแดงไม่ได้คิดจะล้มเจ้านะแต่อยากให้ท่านช่วยเรา พอพระอาทิตย์ตก ฟ้าเริ่มมืดทหารเริ่มรุกเข้ามาไม่สนใจพระบรมฉายาลักษณ์ที่ตั้งอยู่ พวกเราจึงวิ่งไปเก็บกลับมา แกนนำก็ประกาศให้ทุกคนช่วยกันดันไว้อย่าถอย ห้ามถอย ถ้าถอยจะล้มกันหมด ผมก็ดันหน้าสุดแนวเดียวกับการ์ดเป็นกันชน ดันๆ ยื้อๆกันอยู่ตั้งนาน ข้างหลังเริ่มไม่ไหวถอยหนีฝั่งทหารดันมาเรื่อยๆต้องถอยร่น ตอนนั้นมีเสียงปืนเสียงระเบิดดังต่อเนื่อง พอเราถอยทหารเราก็วิ่งกรูเข้ามา พอทหารถอยเราก็กรูเข้าไป ยื้อกันไปมาสักพักหนึ่ง"


"ระหว่างนั้นผมถูกแก๊สน้ำตาจึงถอยออกมาล้างหน้าขณะก้มหน้าล้างล้างตาพอเงยหน้าขึ้นมาถูกกระสุนยางพุ่งเข้าที่ใต้ตา ตอนนั้นหันไปให้คนช่วยแล้วพาซ้อนมอเตอร์ไซต์ไปที่เต็นท์พยาบาลรับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ไม่นานรถโรงพยาบาลวชิรพยาบาลก็นำไปส่งที่โรงพยาบาลประมาณ 2 ทุ่ม ได้ผ่าตัดตอน 5 ทุ่มกว่าเพราะว่าตอนนั้นคนเจ็บเยอะมากห้องผ่าตัดไม่ว่าง" เบิ้ดเล่านาทีสูญเสียตา

"ตามันแตกเยอะจึงต้องควักตาออก ตอนแรกที่ไปถึงหมอถามว่าไปโดนอะไรมาบอกว่าโดนกระสุนยาง ยังไม่ได้พูดอะไรกันมากเพราะโดนวางยาสลบ พอตื่นขึ้นมาตาก็ยังอยู่แต่มองไม่เห็นแล้ว หมอก็บอกว่าตามันแตกลองทิ้งไว้ 7 วันรอดูว่ามันจะดีขึ้นหรือไม่ แต่ผ่านไป 7 วันก็ไม่ดีขึ้นเพราะว่ามันแตกไปถึงตาดำจึงต้องควักลูกตาทิ้งไป" หนุ่มบัณฑิตจบใหม่กล่าว


ทางด้านแม่ของเบิ้ดเล่าวว่า "ถ้าเลือกได้คงไม่ไป ถ้าย้อนเวลาไปคงไม่ไป เพราะเทียบอะไรไม่ได้เลย ถึงจะสู้ต่อไปยังไงความยุติธรรมก็ไม่เกิดขึ้น ถึงจะสู้ต่อไป ยังไงความยุติธรรมก็ไม่มี เสียใจมากที่ว่าประเทศเราอายุ 40 กว่าปี แล้วจะได้เห็นประเทศไทยตกอยู่ในสภาพนี้"


และบอกว่าการที่ลูกต้องพิการแบบนี้ "ไม่ได้คิดว่าจะเป็นฮีโร่ใครที่มาเรียกลูกว่าเป็นฮีโร่แม่ไม่ได้ภูมิใจเลย แต่ที่เราไปกันเพราะเห็นมีแต่ชาวบ้านทั้งนั้น ตอนกลางคืนที่เราไปกันได้ฟังเขาปราศรัยบ้าง เอาเสื่อไปปูรองนั่งบนพื้นถนนมันร้อนยังกะนั่งอยู่บนเตาแต่ชาวบ้านคนแก่ทั้งนั้นเขาไปนั่งเพื่ออะไร ถ้ามันไม่ถึงจุดที่ว่าเขาต้องการอะไรที่สุดๆ เขาคงไม่มาที่นี่กันหรอก แม่เชื่อว่าอย่างนั้น การไปชุมนุมไม่ใช่ว่าจะอยู่สุขสบาย ครอบครัวเราถึงได้ทำอาหารไปให้เขา เห็นแล้วสงสารชาวบ้านที่มาต่อสู้กัน"


"พูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นความยุติธรรมไม่มี เราไปก็เเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย แต่พอเราไปแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ขนาดคนตายเยอะแยะยังไม่มีใครออกมารับผิดชอบหรือนึกเสียใจกันเลยสักนิดเดียว ไม่พอยังมาซ้ำเติมคนที่ตายอีก ส่วนคนที่อยู่ก็ต้องมาโดนตามล่าอีก ความยุติธรรมนิดหนึ่งก็ไม่มี"

แม่เบิ้ดเล่าไปพร้อมกับน้ำตาคลอว่า ทุกวันนี้ต้องทำความสะอาดตาให้ลูกน้ำตาตกในทุกครั้ง กินอาหารก็ไม่ค่อยได้ ต้องหยอดตาทุก 4 ชั่วโมง เช้าเย็นต้องทำความสะอาดตอนนี้ต้องอยู่บ้านดูแลลูกไม่คิดว่าไม่อยากไปไหนแล้วทุกที่ในประเทศไปไหนก็ไม่มีความสุข ชีวิตเหมือนตายทั้งเป็น มันเหมือนกับประเทศเราแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย


"อีกกลุ่มหนึ่งอยู่แบบว่ายังไงก็ได้ไม่มีความผิดจะฆ่าคนจะยิงหัวใครก็ได้ไม่มีความผิดทำได้ไม่มีใครเอาผิดแต่อีกกลุ่มหนึ่งเขาไม่ได้ทำอะไรแค่ใส่เสื้อแดงก็ผิด หรือบางคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรแค่ใส่อะไรแดงๆมาก็ผิดแล้ว แล้วมันหาความปลอดภัยความสงบสุขไม่ได้เลย ไม่มีอีกแล้ว ไม่แปลกใจที่คนเขาหนีไปอยู่ประเทศอื่น" แม่เบิ้ดกล่าวทิ้งท้ายอย่างเบื่อหน่าย


ส่วนเบิ้ด เล่าถึงชีวิตที่ต้องเปลี่ยนไปสวมแว่นตาทุกครั้งที่ออกจากบ้านเพื่อปกปิดไว้ไม่ให้คนเขารู้สึกไม่ดี เพราะถ้าคนเห็นเขาก็จะมองด้วยสายดาแปลกๆ ทำให้สภาพจิตใจแย่ ต้องใช้ระยะเวลารักษาอีกนานพอสมควร พอรักษาเสร็จก็ต้องออกไปหางานทำซึ่งไม่รู้จะมีใครรับทำงานหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจเพราะกลายเป็นพิการชีวิตแย่ลงไปเยอะ(ขณะที่แม่นำเมนูอาหารมาบังสายตาตอนที่ลูกชายลดแว่นตาให้ดูเบ้าตาที่ไร้ลูกตา)


"ตอนนี้ออกไปไหนไกลๆไม่ได้ต้องคอยหยอดตาตลอด ยกของหนักเกิน 2 กิโลกรัมก็ไม่ได้เพราะความดันจะขึ้นตาแผลจะปริก้มต่ำกว่าเอวก็ไม่ได้ ห้ามฝุ่นเข้า โดนน้ำไม่ได้ตอนนี้ผมไม่ได้ล้างหน้ามาเดือนกว่าแล้วเพราะกลัวเชื้อโรคเข้าตา"


เบิ้ด กล่าวอีกว่า "ที่ผมโดนไม่มีใครรับผิดชอบจะไปฟ้องกับใครก็ไม่ได้ คิดว่าวันที่ 10 เมษายน น่าจะเป็นอุทธาหรณ์แล้ว แต่วันที่ 19 พฤษภาคมยังกลับมาฆ่าคนอีก ฆ่าตายเยอะกว่าเดิม อยากจะขอให้เขาหยุดมันทำให้คนตายโดยไร้ค่าแลกกับเก้าตัวเดียว แค่ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ทุกคนกก็กลับบ้านหมด ทำไมคุณไม่เลือกทางนั้นทางที่จะไม่สูญเสีย กลับเลือกทางที่จะสูญเสียไล่ฆ่าคนให้คนเขากลับกัน ถ้าเขาไม่ประกาศสลายการชุมนุมคนที่นั้นคงโดนยิงตายกันหมด"


"พอฆ่าคนตายแล้วมาบอกว่าให้ทุกคนปรองดอง คนที่ตายไปเขาตายไปเพราะอะไรเขาตายไปเพราะไร้ค่าหรืออย่างไร พอเขาตายก็ไปยัดเยียดว่าเขาคือผู้ก่อการร้าย มันไม่ยุติธรรมมันไม่ใช่มนุษย์การกระทำแบบนี้มันเลวร้ายมาก มาฆ่าคนแล้วโยนความผิด มาฆ่าคนแล้วมาใส่ร้าย ตัวพวกเขาเองไม่มีความผิดมีแต่ความดีความชอบ เอาอาวุธมายัดเยียดให้ ขอถามหน่อยว่าหากคนเสื้อแดงมีอาวุธมากมายขนาดนั้นแบบที่ออกข่าวคนจะตายเยอะขนาดนี้เลยหรือ แล้วคนฝั่งไหนน่าจะตายเยอะกว่ากัน มันเห็นๆกันอยู่การกระทำ"


เบิ้ดยังคงเชื่อว่าจะมีคนเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยการวิงวอนให้ ประชาชนทั่วไปเวลารับฟังบข่าวช่วยคิดตามไม่ใช่ว่าฟังแล้วจะเชื่อตามนั้นลองเทียบกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับข่าวที่ได้รับลองเชื่อมโยงดูว่ามันสอดคล้องกันหรือไม่ หรือมันหักล้างกันอย่างไร ไม่ใช่ใส่ร้ายคนเสื้อแดงเลวอยุ่ฝ่ายเดียว


"ทุกคนไม่มีใครอยากให้เกิดหรอกครับถ้าประเทศมีความยุติธรรมทุกคนก็ต้องอยู่บ้านทำมาหากินกันอย่างมีความสุข ประเทศที่อยู่กันมาแบบว่าเลือกตั้งแล้วมาทำรัฐประหาร ตอนนี้ประชาชนเป็นคนถูกกระทำแต่นายกฯไม่มีการแสดงความเสียใจหรือขอโทษเลยสักนิด ไม่เสียใจเลยหรือที่ฆ่าประชาชน แล้วคุณจะอยู่กันอย่างไร คุณไม่สามารถอยู่ในประเทศนี้ได้โดยที่มีแต่พวกคุณถ้าไม่มีประชาชนพวกคุณก็ไม่สามารถบริหารประเทศได้ แล้วที่บอกว่าปรองดองแต่ออกข่าวใส่ร้ายแบบนี้นะหรือ ปรองดอง มายิงแล้วมีคนตายปิดข่าว มันไม่ยุติธรรม เสื้อแดงที่มาไม่มีผู้ก่อการร้าย มีแต่คนใจดียิ้มแย้มแจ่มใส นิสัยดีเราไม่เคยรู้จักกันแต่เหมือนคนในครอบครัวเดียวกันมีความน่ามีความสุข"

ความช่วยเหลือที่นายสันติพงษ์ได้รับจากสำนักพระราชวังจำนวน 1.5 หมื่นบาท และรับการผ่าตัดควักลูกตาฟรี แต่หนุ่มคนนี้ยังคงต้องอาศัยตาเทียมเพื่อมาทดแทนดวงตาที่เสียไปให้กลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้ใหม่อีกครั้งอาจจะไม่เหมือนคนปกติแต่ต้องไม่แตกต่างกันมาก จึงมีค่าใช้จ่ายในการใส่ตาเทียมใช้เงินเกือบแสนบาท แม้เพื่อนๆจะช่วยสมทบทุนค่ารักษาแต่ก็ยังไม่เพียงพอ


หากใครที่มีความประสงค์จะสมทบทุนเพื่อช่วยให้เบิ้ดได้มีตาครบทั้งสองข้างแม้จะมองเห็นข้างเดียว สามารถบริจาคผ่านหมายเลขบัญชี 1761157558 ธ.กรุงไทย บัญชีออมทรัพย์ สาขาถนนประชาราษฎ์ ชื่อบัญชี สันติพงษ์ อินจันทร์


ก่อนที่หนุ่มตาเดียวจะขอตัวกลับไปทำหน้าที่หลังจากที่ไม่สามารถออกไปบู๊ข้างนอกได้จึงทำตัวให้เป็นประโยชน์กับผู้ชุมนุมโดยการช่วยกระจายข่าวจากแหล่งที่น่าเชื่อถือได้ผ่านทางเฟซบุ๊ค แต่พักหลังไอซีทีเริ่มมากวนต้องมีการเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนรูปซ่อนตัว เบิ้ดบอกก่อนลากลับบ้านไปหยอดตา


นี่เป็นเพียงตัวอย่างเหยื่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนเมษายนกับพฤษภาคม 2553 ยังมีคนบาดเจ็บล้มตายอีกเป็นจำนวนมากที่ถูกทอดทิ้งไร้การเหลียวแลจากเพื่อนมนุษย์และภาครัฐเข้าไปเยียวยาและดูแล