WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, May 25, 2010

เปิดญัตติซักฟอก"นายกฯ-5รมต."

ที่มา ข่าวสด


รายงานพิเศษ




วันที่ 24 พ.ค. นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน ยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ 5 รัฐมนตรี

ได้แก่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี นาย ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย นายโสภณ ซารัมย์ รมว. คมนาคม นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง และนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ

โดยมีส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวน 184 คนเข้าชื่อตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 ต่อนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร

พร้อมกันนี้ได้ยื่นคำร้องขอให้ถอดถอนนายอภิสิทธิ์ นาย สุเทพ นายชวรัตน์ และนายโสภณ ออกจากตำแหน่ง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 โดยแนบรายชื่อส.ส.จำนวน 159 คน ต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา

รายละเอียดดังนี้



ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ



นายอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ได้บริหารราชการแผ่นดิน โดยมีพฤติการณ์แห่งการกระทำ ดังนี้

1.กำหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อมุ่งแสวง หาประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง ส่งผลให้เกิดการทุจริตเชิงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม ปล่อยปละละเลยและรู้เห็นเป็นใจให้รัฐมนตรีทุจริตคอร์รัปชั่น แสวงหาประโยชน์จากงบประมาณผ่านโครงการต่างๆ

ส่งผลให้มีการทุจริตของรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างกว้างขวาง เช่น ทุจริตในโครงการไทยเข้มแข็ง ทุจริตในโครง การชุมชนพอเพียง ทุจริตจัดซื้ออาวุธในกองทัพและทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างในหลายกระทรวง เช่น กระทรวงคมนาคม มีการทุจริตโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง

2.ละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฎหมายอย่างร้ายแรง เลือกปฏิบัติเกินความจำเป็นแก่สถานการณ์ต่อผู้ชุมนุม สั่งให้ทหารใช้อาวุธสงครามเข้าปราบปรามประชาชนที่ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย โดยไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก นับแต่เดือนเม.ย.2552 จนถึงเดือนพ.ค.2553

ทั้งที่ประชาชนมาชุมนุมเรียกร้องตามระบอบประชาธิปไตย โดยมีเป้าหมายชัดเจนคือการยุบสภา เพื่อจัดให้เลือกตั้งใหม่ เนื่องจากเห็นว่าที่มาของรัฐบาลไม่ชอบธรรม เห็นควรคืนอำนาจ ให้แก่ประชาชน แต่นายอภิสิทธิ์ กลับให้ "หีบศพ" กับประชาชน ร่วมร้อยศพ และบาดเจ็บทุพพลภาพจำนวนมากอย่างที่รัฐบาลพลเรือนของไทยและในต่างประเทศไม่เคยกระทำเช่นนี้กับประชาชนมาก่อน

3.ลุแก่อำนาจด้วยการบังคับใช้กฎหมายเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองของตนเองโดยไม่สุจริตและเลือกปฏิบัติ เช่น การประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร และพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยไม่มีเหตุและเงื่อนไขตามกฎหมาย ถือเป็นการออกคำสั่งและประกาศที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอย่างร้ายแรง

4.ปกปิดความผิดของตนเองและพวกพ้อง โดยหลีกเลี่ยงที่จะปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย เพื่อช่วยให้ตนเอง และพวกพ้องพ้นความผิด จากกรณีนำเหตุการณ์สลายการชุมนุมเข้าเป็นคดีพิเศษ โยนความรับผิดชอบให้บุคคลอื่นและ ไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150

5.บังคับใช้กฎหมายโดยเลือกปฏิบัติเป็น 2 มาตรฐาน เพื่อมุ่งช่วยเหลือพวกพ้องตนเองและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ

6.ครอบงำ แทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน ใช้สื่อ ของรัฐเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน สั่งปิดสถานีโทรทัศน์ วิทยุชุมชน เว็บไซต์ที่เห็นแตกต่างจากรัฐบาล ขณะที่ปล่อยให้สื่อมวลชนอีกฝ่ายออกมาโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง ส่งผลให้ความขัดแย้งของประชาชนขยายวงกว้าง

7.ใช้อำนาจหน้าที่แทรกแซงการแต่งตั้งข้าราชการ ปล่อยให้นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงแสวงหาประโยชน์จากการแต่งตั้งข้าราชการในหลายกระทรวง อีกทั้งแทรกแซงและกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีแต่งตั้งผบ.ตร. ตาม พ.ร.บ.ตำแหน่งแห่งชาติ พ.ศ.2547

8.ไร้ประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ปฏิบัติตามแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2552-54 กระทำการก่อหนี้สาธารณะสูงเกินกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ นโยบายเศรษฐกิจล้มเหลว เพราะนำเงินกู้ส่วนใหญ่ไปเป็นงบก่อสร้างซ่อมถนน ซ้ำร้ายนำเงินกู้มาทุจริตในหลายโครงการ ทำให้ขาดความเชื่อมั่นในการลงทุนของต่างประเทศ เช่น กรณีปัญหานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ทำให้รัฐเกิดความเสียหายในด้านเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง ปล่อยให้เกษตรกรมีปัญหาเรื่องราคาพืชผล เช่น ราคาข้าวตกต่ำ

9.มีปัญหาทางสังคม ปล่อยให้มีการระบาดในเรื่องยาเสพติดและอาชญากรรมอย่างรุนแรง

10.ขาดภาวะความเป็นผู้นำ มุ่งบริหารราชการโดยการสร้างภาพให้ตนเองและพวกพ้อง ปล่อยให้บุคคลภายนอกที่อยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองเข้าบงการ สั่งการ แทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรี และแสวงหาประโยชน์จากโครงการของรัฐ

11.นโยบายด้านการต่างประเทศล้มเหลวโดยสิ้นเชิง สร้างภาพลักษณ์เสียหายของประเทศต่อสายตาประชาคมโลก ด้วยการแต่งตั้งรมว.ต่างประเทศที่กระทำผิดกฎหมายอาญาฐานก่อการร้ายสากลโดยยึดสนามบินนานาชาติ และดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศในลักษณะก้าวร้าวรุนแรง ส่งผลให้ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านต้องเสื่อมทรุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยไม่ปฏิบัติตามแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2553-54 ในเรื่องการต่างประเทศ

12.ขาดความจริงใจในการสร้างความปรองดองและความ สมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน เพื่อลดความขัดแย้ง แต่ตรงกันข้าม มีพฤติกรรมที่สร้างความขัดแย้งให้เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดยปล่อยให้โฆษกส่วนตัวและคนใกล้ชิดออกมา สร้างความขัดแย้ง

พฤติกรรมการบริหารราชการของนายกฯ ส่งผลให้เกิดความ เสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างร้ายแรง หากปล่อยให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป ย่อมส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติจนยากที่จะแก้ไขเยียวยาได้

พร้อมกันนี้ ผู้เสนอญัตติขอเสนอชื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งเป็นบุคคลตามมาตรา 171 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ เป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนต่อไป



ญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 159



เนื่องจากรัฐมนตรีทั้ง 5 กระทำผิดรัฐธรรมนูญและบริหารราชการโดยไร้ประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศเสียหาย โดยมีพฤติการณ์ดังนี้

1.นายสุเทพ ในฐานะปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ มีพฤติกรรม ส่อกระทำผิดต่อหน้าที่ตั้งแต่เดือนมี.ค.-พ.ค.2553 กรณีการสลายการชุมนุม ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล และทำผิดตามกฎหมาย คือผิดต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ใช้กำลังทหารเข้าไปข่มขู่คุกคามในสถานีไทยคมและทำลายสัญญาณการสื่อสารโทรทัศน์ เป็นการละเมิด สิทธิเสรีภาพในการสื่อสาร

นอกจากนี้ยังแจ้งบัญชีทรัพย์สินหนี้สินอันเป็นเท็จต่อป.ป.ช. กระทำการบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติโดยการบุกรุกภูเขา กระทำ การออกโฉนดอันเป็นเอกสารสิทธิและเตรียมการจัดสรรที่ดินขาย โดยไม่ชอบ

2.นายกรณ์ ดำเนินนโยบายด้านการเงินการคลังและงบประมาณผิดพลาดบกพร่อง ไม่ดำเนินงานตามแผนงานการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2552-54 และแผนนิติบัญญัติ 2552-54 มุ่งก่อหนี้สาธารณะโดยไม่คำนึงถึงสถานะทางเศรษฐกิจและความจำเป็นของประเทศ นำเงินกู้ไปดำเนินนโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับรัฐมนตรีในกระทรวงต่างๆ ทั้งที่แต่ละโครงการไม่ได้สร้างประโยชน์กับเศรษฐกิจโดยรวม มีการสูญเปล่าในหลายโครงการ เรียกว่า "กู้มาโกง" นอกจากนี้ยังออกพ.ร.บ.กู้เงิน 400,000 ล้านบาทโดยไม่เป็นไปตามแผนนิติบัญญัติ

3.นายกษิต บริหารราชการแผ่นดินโดยไม่ก่อให้เกิดภาพลักษณ์ ที่ดีต่อประเทศในสายตาประชาคมโลก มีพฤติกรรมข่มขู่ ก้าวร้าวต่อมิตรประเทศ สร้างความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน มีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อฝ่ายที่เห็นต่าง มุ่งทำลายล้างนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามในทุกวิถีทางโดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม จริยธรรม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ถือว่าไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและนโยบายที่แถลงไว้

4.นายชวรัตน์ มีพฤติกรรมที่ส่อทุจริตต่อหน้าที่และส่อว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่ง หน้าที่ราชการ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม อย่างร้ายแรง จากกรณีให้บริษัทเครือญาติเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐในหลายโครงการ โดยตนเองมีส่วนร่วมลงมติเห็นชอบกับโครงการในฐานะรัฐมนตรี ส่งผลให้รัฐต้องจ่ายเงินมากกว่าที่ควรจ่ายหลายพันล้านบาท

รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ แทรกแซงและแสวงหาประโยชน์จากการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ปล่อยปละละเลยหรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ของกรมการปกครอง อนุมัติให้มีการขออนุญาตจำหน่ายอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนเพื่อมุ่งแสวงหาประโยชน์

5.นายโสภณ บริหารราชการมุ่งแสวงหาประโยชน์ในทางทรัพย์สินและประโยชน์ทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงประสิทธิ ภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ มีพฤติการณ์ส่อทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงจากการเอื้อประโยชน์ ให้บริษัทเอกชนที่เป็นพวกพ้องและญาติของรัฐมนตรีในพรรคของตนเองได้ประโยชน์ที่มิควรได้จากการประมูลงาน และเป็นคู่สัญญากับรัฐ ส่งผลให้รัฐต้องสูญเสียเงินงบเกินกว่าความเป็นจริงหลายพันล้านบาท

จากพฤติกรรมของทั้ง 5 รัฐมนตรีส่งผลกระทบต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างร้ายแรงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและทรัพยากรธรรมชาติ หากปล่อยให้รัฐมนตรีทั้ง 5 คนบริหารราชการต่อไป จะทำให้เสียหายร้ายแรงแก่ประเทศชาติยากต่อการเยียวยาได้