ที่มา ไทยรัฐ ในมุมมองของต่างประเทศ ต่อกรณีวิกฤติการเมือง ที่ผ่านมา เริ่มนับตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 จนถึงในปัจจุบันพบความเปลี่ยนแปลงมากมาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของนวัตกรรมการเมืองไทยจากอดีตถึงอนาคต ที่หมดเปลืองไปกับการชิงขั้วอำนาจทางการเมือง หมัดเหล็ก
วิถีชีวิตของผู้ปกครองและผู้ถูกปกครองใน ระบอบประชาธิปไตย เปลี่ยนไปเช่นกัน หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น ชี้ให้เห็นวงจรอุบาทว์ ทางการเมืองที่ถอยร่นล้าหลังไปอย่างไม่คาดคิด
โดยเฉพาะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดระหว่างประเทศเพื่อนบ้านและประเทศที่เคยคบค้าสมาคม ความน่าเชื่อถือลดลงอย่างน่าใจหาย ส่งผลกระทบถึงรากฐานเศรษฐกิจของประเทศ ในเบื้องต้นวัดกันจากจำนวนคนตกงาน เพิ่มขึ้นเกือบ 5 แสนคนจาก 3 แสนกว่าคนในระยะเวลาที่รวดเร็ว และนี่ก็เป็นเพียงตัวเลขทางราชการเท่านั้น ที่เป็นแรงงานชั้นสองไม่ได้รับการเหลียวแลอีกเท่าไหร่ ว่างงานแฝงอีกเท่าไหร่
รัฐบาลจะอ้างตัวเลขเศรษฐกิจโตเท่านั้นเท่านี้ แต่ชาวบ้านอดอยากปากแห้ง สู้เศรษฐกิจติดลบแต่ประชาชนอิ่มท้องน่าจะดีกว่า เช่นเดียวกับ
มุมมองถึงความปฏิสัมพันธ์กับต่างประเทศ ไร้ทิศทางไร้สติ นอกจากจะไปกระเหี้ยนกระหือรือเอากับทักษิณ แล้วอย่างอื่นทำไม่เป็น
วันนี้มีมุมมองจาก ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ศาสตราภิชาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มองการต่างประเทศในช่วงหลังการรัฐประหาร 19 กันยาไว้ดังนี้
ความไว้เนื้อเชื่อใจลดลง อาทิ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับพม่า ไทยกับกัมพูชา หรือไทยกับลาวดูห่างเหิน บางครั้งกลายเป็นเครื่องมือใน
การกดดันประเทศพม่า บางครั้งมีการนำนโยบายในอดีตมาใช้ นำไปสู่ความหวาดระแวงและความไม่เข้าใจ กับกัมพูชาถึงกับมีการโต้ตอบวาทกรรมระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศ รวมถึงขาดการกระชับมือให้อบอุ่น
ความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคีก็เสื่อมโทรมลง ที่สำคัญคือ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน ความสัมพันธ์อยู่ในระดับเย็นชา แม้แต่ขั้นตอนพิธีการบางอย่างก็ผิดพลาด อาทิ ไปเยือนฮ่องกงก่อนที่จะไปเยือนจีน เป็นการผิดพิธีการที่จีนถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก
ดังนั้น ไทยจึง ควรกำหนดทิศทางให้ถูกต้อง เน้นความสัมพันธ์
กับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ไม่ว่าในเวทีพหุภาคีหรือทวิภาคี ความร่วมมือไทย-พม่า-ลาว-เวียดนาม-กัมพูชา ต้องได้รับการฟื้นฟู
ข้อผิดพลาดบางอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือการให้ความร่วมมือของประเทศเพื่อนบ้าน ยาบ้า ของเถื่อน อาวุธสงครามทะลักเข้ามาในประเทศไทยอย่างมากในระยะนี้แปลว่า เขาไม่ใส่ใจ ดังนั้น ในเชิงทฤษฎีแล้วสามารถนำข้อมูลจากการสัมมนาวิชาการ บทบาทและยุทธศาสตร์การต่างประเทศของไทยที่ ดร.สุรเกียรติ์ได้อภิปรายไว้ตั้งแต่
วันที่ 10 ก.พ.2553 มาปฏิบัติได้ยังไม่สาย ถ้ารัฐบาลใจกว้างพอที่จะยอมรับความจริง.