ที่มา โลกวันนี้ การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. เขต 6 กำลังเป็นที่จับจ้องว่าเป็นสนามหนึ่งที่มีการสาดโคลนเข้าใส่กันมากที่สุด ฉะนั้นคนฟังจึงต้องพิจารณาให้รอบคอบ ถี่ถ้วน ไม่ว่าจะฟังฝ่ายไหนมาก็ตาม และแล้วเทศกาลสาดโคลนก็มาถึง ซึ่งจะใช้สนามเลือกตั้ง กทม. เขต 6 เป็นเวทีระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ 2 พรรคใหญ่นี้ยากที่จะยอมให้แก่กัน ถึงแม้ผู้สมัครจากฝ่ายหลังบอกว่าจะไม่กล่าวโจมตีใคร จะหาเสียงโดยเสนอเพียงนโยบาย แต่เชื่อเถอะว่าบรรดาลิ่วล้อหรือคนในพรรคคงไม่เป็นเช่นนั้นแน่ ต้องมีออกมาอัด ออกมาสวน เพราะอย่างไรการปราศรัยย่อมหนีไม่พ้นการพาดพิง ถ้าการเมืองไทยมีแต่การหาเสียงเชิงนโยบายอย่างเดียวจริง ไม่โจมตีใคร ไม่ใส่ร้ายป้ายสีใคร ไม่มีการสาดโคลนใส่ใคร ป่านนี้ประเทศไทยก้าวหน้ากว่านี้เยอะแล้ว ไม่ต้องมีปัญหาอย่างที่เคย เราก็ได้รู้ได้เห็นกันอยู่ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เพราะที่ผ่านก็มีแต่การสาดโคลนเข้าใส่กันในยามใดที่มีการเลือกผู้แทน สำหรับเวทีนี้ประชาชนเขาวิจารณ์กันว่าฝ่ายค้านคงเอาเรื่องรัฐบาลมือปื้นเลือดมาเป็นประเด็นสาดใส่กันแน่ๆ ส่วนรัฐบาลก็คงจะหยิบเรื่องผู้ก่อการร้าย คนเผาบ้านเผาเมืองมาพูดปราศรัยเช่นกัน ถ้าเป็นอย่างนี้ประชาชน ประเทศชาติก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ถ้าการเมืองมีแต่เรื่องการกลั่นแกล้งประเทศก็จะไม่ไปไหน และก็ดูจะหนักกว่าเก่า จะพากันลงเหวลงนรกกันมากกว่าเก่า กลายเป็นว่าการเลือกตั้งเป็นการเลือกนรกกันไปเลย ไม่ใช่เลือกคนแต่เป็นการเลือกนรกให้กับชาติบ้านเมือง แต่ถ้าผู้สมัครแต่ละพรรคมีการพูดกันแต่นโยบายและอาศัยความประนีประนอมรอมชอมกัน ทุกคนช่วยกันเสนอแนวคิดว่าจะทำอย่างไรให้บ้านเมืองกลับมามีความสงบ เพื่อประชาชนจะได้มาร่วมมือกันเดินหน้าสร้างสรรค์ประเทศไทย ไม่ล้าหลัง ไม่ตกหล่มของความขัดแย้ง ไม่เป็นแผ่นเสียงตกร่องเหมือนอย่างที่แล้วๆมา บ้านเมืองเราก็จะกลับมามีความสุข มีคนกล่าวว่าหากเรายังคิดจะสู้กันเหมือนเดิมก็คงมีแต่จะตายกันแบบเดิม เมื่อก่อนเราเคยสู้กันในป่าในสมัยที่ยังมีคอมมิวนิสต์ ก็จะมีคนตายในป่าเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ล่าสุดมาสู้กันในเมืองก็ถูกยกตำแหน่งให้เป็นผู้ก่อการร้าย อันนี้ก็มาตายกันในเมืองกันเกือบร้อย เพราะฉะนั้นเราจึงต้องหันมาสู้กันแบบใหม่ ที่เห็นแย่ที่สุดคือสู้แบบอารยะขัดขืน ยังดีที่สู้แบบนี้ไม่มีใครเป็นอะไร แต่อาจเสียอยู่บ้างตรงที่อารยะขัดขืนบางครั้งก็พาประชาธิปไตยไปอยู่ใต้เครื่องมือของกองทัพ อย่าเพิ่งถามว่าใครฆ่าประชาชน เชื่อเถอะว่าไม่มีใครกล้ายอมรับหรอก ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะหันกลับมานำพาประเทศหนีให้พ้นจากวิกฤตนี้กันเสียที อย่าสร้างวิกฤตให้แก่ประเทศเพิ่มขึ้นเลย เพราะจะเป็นบาปเป็นกรรมกับทุกฝ่ายที่ทำให้บ้านเมืองบอบซ้ำ จะเป็นแบบที่ฝรั่งวิจารณ์หรือไม่ว่าประเทศไทยเสียโอกาส เพราะมีระบบการเมืองที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาต่อความเจริญก้าวหน้า ทำอย่าไรพวกนักการเมืองถึงจะได้รู้สึกตัว โดยไม่หลงมัวเมาทำตัวเป็นอุปสรรค ทำตัวเป็นต้นเหตุขัดขวางความเจริญของบ้านเมือง เพราะจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย และยังจะไม่ได้เป็นการแสดงความฉลาดของคนที่เป็นนักการเมือง สำหรับประชาชนก็เช่นเดียวกัน เห็นกันบ้างหรือไม่ว่านักการเมืองแต่ละคนพูดจากันอย่างไร พูดจากลับกลอกไปวันๆอย่างไรบ้าง ด่ากันไปด่ากันมา ฟ้องกันมาฟ้องกันไปคนละสองสามที อย่างล่าสุดได้ยินคนระดับแกนนำพันธมิตรฯเม้งใส่กันเรื่องเงินบริจาค แต่ตอนนี้ท่าจะยอมความกันแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นประชาชนก็ได้ฟังอยู่ แต่ยังไม่รู้ว่าใครพูดจริง อาจจะเป็นการฮั้วกันหรือเปล่า เขายอมปรองดองด้วยหรือเปล่า เขายอมประนีประนอมคดี คงไม่ใช่ว่าเขาปรองดองเพราะความรู้ถึงดีต่อกัน หรือเขาปรองดองด้วยความรู้สึกผิด เพราะกลัวติดคุกติดตะรางทั้งคู่ จึงไม่เกิดประโยชน์อะไรถ้าเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราในฐานะประชาชนทั่วไป ถ้าได้ฟังอะไรมาอย่าเพิ่งคล้อยตามหรืออารมณ์ขึ้น หากได้ฟังการปราศรัยโจมตีด่ากันด่าไปด่ากันมา ทั้งหมดน่าจะพอกันได้แล้ว มีเวทีหนึ่งเขาจะนำคนถูกเผากับคนจัดม็อบมาเจอกัน ตรงนี้น่าจะมีหลายทีม คือเอาพวกเสียหายมานั่งคุยกับพวกจัดม็อบ ม็อบสนามบินมาด้วย มาฟังความทุกข์ร้อนเสียหายของคนที่สูญเสียจะได้ฉุกคิดว่าไม่ใช่เรื่องสนุก อาจจะคิดกันได้ว่าไม่น่าทำเลย จนต้องมาวิปฏิสารกันต่อไป เพราะฉะนั้นการเมืองคราวนี้อย่าให้ต้องมีวิปฏิสารในภายหลัง คือต้องมานั่งเสียใจต่อการกระทำในช่วงที่มีการสาดโคลนใส่กันไม่เกิดประโยชน์ สู้มาช่วยกันสร้างคนโดยไม่เป็นตัวต้นเหตุของความวุ่นวาย แต่เข้ามาเป็นต้นเหตุแห่งความประสานรอยร้าว ให้สมัครสมานสามัคคีปรองดองกันเหมือนเดิมดีกว่า เจริญพรสำนัก(ข่าว)พระพยอม จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ ปีที่ 11 ฉบับที่ 2830 ประจำวัน พุธ ที่ 30 มิถุนายน 2010 โดย พระพยอม กัลยาโณ