ที่มา ประชาไท วัฒนธรรมการนับถือคน และพร้อมใจกันสถาปนาว่าคนนั้น เป็น "คนดี" เหมือนกับการหลงลืมชั่วคราวว่านี่คือคน ที่มีทั้งดีและไม่ดี แต่คนก็ยังยกย่องอย่างไม่ลืมหู ลืมตา!!! แน่นอน สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการเผชิญหน้าอย่างบ้าคลั่งกับผู้นิยมคนดีคนนั้นๆ ความรุนแรงย่อมขึ้นอยู่กับระดับของความบ้าคลั่ง ตั้งแต่การด่าทอ การรวมกลุ่มกดดัน หรือการทำร้ายกันทั้งร่ายกายและจิตใจ ใครไม่ยกย่อง หรือชื่นชม เอ็งผิด เอ็งเลว ในขณะเดียวกัน เรายังนิยมระบบบริหารคนเดียวอย่าง CEO มากกว่าการบริการเป็นกลุ่มอย่างในยุโรป เอาง่ายๆ หลายชื่นชม สตีฟ จ๊อบ และชื่นชอบ iphone และเราก็เลียนแบบตามในสิ่งที่เขา คิดมาแล้ว นี่เป็นความสลดของผลกระทบระดับมหภาคในการที่เราถูกล้อมกรอบไม่ให้กล้าวิพากษ์ "คนดี" ตอนนี้ผมเริ่มคิดว่า "คนดี" นี่เหมือนอะไรกัน พอมือเราไม่แตะโดนกลับเหม็นหึ่งติดมืออย่างไม่จางหายไป ลองคิดดู!!!
และการปรักปรำคนที่พยายามตั้งคำถามและวิพากษ์คนดีคนนั้นว่า เป็น "คนไม่ดี" "คนผิด" หรือ "คนเลว"
ย่อมเป็นเรื่องตลกร้ายที่น่าเวทนาสุดๆ
แสดงว่า ปัญหานี้เป็นปัญหาพื้นฐานของสังคมเราจริงๆ
เราไม่พยายามจะคิดให้ได้อย่างเขา
เพื่อไทย
Thursday, July 1, 2010
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณไปวิพากษ์บุคคลที่คนอื่นว่าเป็นคนดี : ปัญหาพื้นฐานของสังคมไทย
ผมยังคงยืนยันความคิดเดิมว่า ผมศรัทธาใน "ระบบ" ไม่ใช่ "คน" และไม่เคยคิดจะตั้งความหวัง หรือเซ่นสังเวยความศรัทธาให้คนที่ทุกคนว่าดี
เพราะคนเรานั้น ต้องยอมรับว่ามันมีทั้ง "ดี" และ "เลว" ในตัว
(ปัญหาว่าใครมีอะไรมากกว่ากันระหว่าง ดีกับเลว เป็นเรื่องที่ปลีกย่อย)
ณ วันหนึ่ง เราอาจพบว่ามันดีมากที่เป็น "คนนี้" หรือ "คนกลุ่มนี้" เป็นผู้ลงมือกระทำ หรือขับเคลื่อนอะไรบางอย่าง แต่เราต้องไม่ลืมว่า ตราบใดที่เรายังเป็นคนไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่ามันจะดีอย่างนี้ได้ตลอดไปหรือเปล่า และซ้ำร้าย หากคนเหล่านี้ล้ม หาย ตาย จากไป ก็เท่ากับว่าเราต้องเริ่มกลับไป “เสี่ยง” นับหนึ่งอีกรอบสำหรับการควานหา และตั้งความหวังกับ "คน" อีกรอบ
ในทางกลับกัน หากเป็นระบบที่ดี ย่อมเป็นเครื่องมือรับประกันว่าอย่างน้อยที่สุด เราจะไม่ต้องแขวนผลสำเร็จของอะไร บางอย่างไว้กับคนที่ไม่แน่นอน หากคนเหล่านี้ล้มหายตายจากไป คนที่เข้ามาใหม่ ก็มีการรับประกันได้ว่าผลสำเร็จ หรือการทำงานจะยังคงเป็นระบบระเบียบอย่างเดิม
ที่น่าสนใจ คือ บางครั้งคนดีที่คนอื่นยกย่องเหล่านี้พร้อมจะนำเสนอ และทำการตลาดความดีของตน ไม่ว่าจะด้วยตนเอง หรือบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย
ภายใต้ใบหน้าของอุดมการณ์ หรือความดีงาม เรามักพบว่าความฟอนเฟะอันน่าสมเพช และความตื้นเขินอันหาแก่นสารไม่ได้ ความมีแก่นแท้จริงแล้วเป็นความกลวงและลวงตาอย่างที่สุด
ความเดือดร้อนมันจะไปเกิดขึ้น หากคุณไม่ไปแตะต้อง หรือพยายามแตะต้องบุคคลที่เป็นสัญลักษณ์ของความดีนั้น
คำถามอย่างน้อยที่สุดสำหรับบทความนี้ คือ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณไปวิพากษ์บุคคลที่คนอื่นว่าเป็นคนดี ?
โสกราติสนักปราชญ์เรืองนามชาวกรีกได้กล่าวว่า
"ชีวิตที่ปราศจากการตรวจสอบ มิควรค่าที่จะดำรงอยู่ต่อไป"
เช่นเดียวกันกับคนดีของทุกคน หากเราไม่อาจแตะต้องหรือวิพากษ์ได้ ย่อมเป็นเรื่องที่น่าหดหู่
แต่มันเกิดขึ้นแล้วในสังคมเรา สังคมที่เรามองว่าเรายอมรับในความเห็นต่างได้
จริงๆ แล้วไม่!!!
หลักฐานชิ้นสำคัญว่าเราไม่พร้อมในการรับฟังซึ่งกันและกัน คือ คนไทยไม่เคยประสบความสำเร็จในการทำกิจกรรมเป็นหมู่คณะมาก่อน
เราไม่เคยเห็นกีฬาที่เล่นเป็นทีมอย่างฟุตบอลประสบความสำเร็จ เท่าเล่นคนเดียวอย่าง "ชกมวย" "ยกน้ำหนัก"เพราะทักษะในการพร้อมรับการวิจารณ์และวิจารณ์ได้ของเรามีน้อยมาก
สภาพสังคมแบบนี้ล่ะ ที่ทำให้เรา "สมองฝ่อ" ไม่คิดอะไรใหม่ หรือไม่กล้าจะคิดให้ต่างออกไป
ความคิดอันสวยหรูก็เช่นเดียวกัน หลายคนเอาแต่ชื่นชมจนหลงลืมการคิดในมุมต่างๆ และเราก็ลืมที่จะคิดให้ดีขึ้น
บางคนกด "ชื่นชอบ" "Like" ความคิดคนอื่น แต่ชีวิตก็ไม่เคยจะคิดหรือเขียน อะไรให้คนอื่นมากด Like ตนเองบ้างเลย
มันทำให้เราไม่กล้าคิดอะไรที่ต่าง ไปจากอื่นๆ เพราะจะถูกพิพากษาทันทีว่าเป็นคนไม่ดี