WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, July 1, 2010

ชำนาญ จันทร์เรือง: ดูฟุตบอลแล้วย้อนดูการเมืองไทย

ที่มา ประชาไท


ผมก็เหมือนกับคนค่อนโลกที่นั่งและนอนดูการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก๒๐๑๐จากอาฟริกาใต้ด้วยความตื่นเต้นและสนุกสนาน ที่แน่นอนที่สุดก็คือในบางครั้งก็เกิดความเซ็งในอารมณ์ที่กรรมการตัดสินผิดพลาดหรือตามเกมไม่ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนวันที่ทีมอังกฤษเตะไปโดนคานแล้วล้ำเข้าไปในเขตประตูของเยอรมันเรียบร้อยแล้วแต่กระเด้งออกมาหน้าประตูซึ่งจบลงด้วยการที่ผู้รักษาประตูของเยอรมันสามารถรับลูกเอาไว้ได้ แต่อังกฤษก็ไม่ได้ประตูทั้งๆ ที่คนทั้งโลกที่ชมการถ่ายทอดโทรทัศน์เห็นอยู่ชัดๆว่าได้ประตูแล้ว

ต่อมารอบดึกก็เกิดปรากฏการณ์ในทำนองเดียวกันอีกระหว่างทีมอาร์เจนตินากับเม็กซิโกที่เห็นได้ว่าผู้เล่นของอาร์เจนตินาที่ยิงเข้าประตูไปนั้นล้ำหน้าแต่ทว่ากลับได้ประตู ซึ่งปรากฏการณ์แบบนี้มิได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ FIFA กลับไม่ยอมแก้ไขโดยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เช่นกีฬาอื่นๆ อาทิ เทนนิส รักบี้หรืออเมริกันฟุตบอล ฯลฯ ที่สามารถรีเพลย์หรือเล่นซ้ำเทปการแข่งขันในทันทีและกลับคำตัดสินหากเห็นว่ากรรมการหรือผู้ตัดสินวินิจฉัยหรือตัดสินผิดพลาด

หากเรามองเผินๆโดยไม่คิดอะไรมากก็ดูเหมือนว่า FIFA นั้นนับถือในความเป็นมนุษย์มากกว่าเครื่องจักรกลหรือด้วยเหตุผลว่าต้องการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมของกีฬาฟุตบอลไว้เช่นครั้งในอดีตที่ผ่านมา แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ความตั้งใจของ FIFA ที่ไม่ยอมนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ล้วนแล้วแต่ด้วยเหตุผลทางการเมืองที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจ เพราะ FIFA ไม่ต้องต้องการลดอำนาจของกรรมการที่ตนเองเป็นคนตั้งมากับมือและสามารถบงการหรืออย่างน้อยก็การควบคุมกำกับลงไป ดังจะเห็นได้จาการที่เกาหลีใต้สามารถล้มอิตาลีโดยความช่วยเหลือของกรรมการจนได้ที่สี่ในการแข่งขันเมื่อครั้งปี 2002 ที่เกาหลีใต้กับญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วมกันมาแล้วนั่นเอง

การที่ FIFA ให้อำนาจกรรมการหรือผู้ตัดสินมากก็เพื่อให้ทีมที่เป็นแม่เหล็กหรือเจ้าภาพได้เข้าไปเล่นในรอบลึกๆ เพื่อดึงดูดผู้ชมและโฆษณาให้เพิ่มมากขึ้นนั่นเองถึงแม้ว่าในบางครั้งตั๋วหรือโฆษณาจะถูกขายล่วงหน้าไปหมดแล้วในบางนัดก็ตาม ซึ่งหากปล่อยให้ทีมโนเนมอย่างทีมจากยุโรปตะวันออกหรือทีมจากอาฟริกาหรือแม้กระทั่งเอเชียเองก็ตามหลุดเข้าไปแทนทีมแม่เหล็ก ที่เคยเป็นอดีตแชมป์โลกทั้งหลายแล้วไซร้กำไรของFIFAย่อมลดลงอย่างแน่นอน ฉะนั้น กรรมการหรือผู้ตัดสินจึงถูก FIFA สร้างขึ้นให้เป็นเทวดาหรือยาวิเศษที่จะทำให้ทีมดังๆ หรือทีมเจ้าภาพหลุดเข้าไปในรอบลึกๆ ส่วนทีมกระจอกงอกง่อยที่หลุดรอบคัดเลือกจากโซนต่างเข้าไปนั้นก็เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นฟุตบอลโลก มิใช่เป็นเพียงฟุตบอลยุโรปตะวันตกกับอเมริกาใต้เท่านั้นเอง

เมื่อดูปรากฏการณ์ในฟุตบอลโลกหันแล้วหันกลับกลับมาดูปรากฏการณ์การเมืองไทยในปัจจุบันแล้วแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย เพียงแต่ FIFA เน้นไปทางด้านธุรกิจที่แฝงไว้ด้วยการเมืองซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นเศรษฐศาสตร์การเมือง (political economy) แต่ปรากฏการณ์การเมืองไทยเน้นไปที่การเมืองที่เป็นเรื่องของการยึดกุมอำนาจไว้ให้ได้นานที่สุด ซึ่งก็ส่งผลต่อผลประโยชน์อื่นอันที่เป็นผลพวงของการถือครองอำนาจรัฐนั่นเอง

การที่ FIFA ไม่ยอมใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยในการตัดสินก็เปรียบได้กับการที่รัฐบาลอภิสิทธ์ไม่ยอมใช้กรรมการที่เป็นกลางหรือผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศที่สามารถตรวจสอบเหตุการณ์การสลายการชุมนุมในถ้อยคำว่าขอพื้นที่คืนหรือการกระชับพื้นที่จนมีคนเสียชีวิต 90 ศพและบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนนับพันคน และที่มีปัญหามากที่สุดก็คือเหตุการณ์ 6 ศพที่วัดปทุมวนารามทั้งๆที่อยู่ในเขตอภัยทาน

แน่นอนว่าหากรัฐบาลอภิสิทธิ์ยอมให้ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การระหว่างประเทศไม่ว่าจะเป็นจากองค์การนิรโทษกรรมสากล หรือองค์การเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนต่างๆหรือแม้กระทั่งกลไกอื่นขององค์การสหประชาชาติเข้ามาตรวจสอบย่อมสุ่มเสี่ยงที่จะพบเห็นความไม่ชอบมาพากลของการสลายการชุมนุมหรือการกระทำที่เกินกว่าเหตุของเจ้าที่หน้าที่ที่อาจกระทำการนอกเหนือคำสั่งได้

แต่ในทำนองกลับกันผู้เชี่ยวจากองค์การระหว่างประเทศนั้นอาจได้ข้อเท็จจริงที่อาจเป็นผลดีต่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ได้ หากความเป็นจริงเป็นดัง ศอฉ. หรือผู้นำรัฐบาลพร่ำบอก (ข้างเดียว) อยู่เสมอว่ากระทำตามกฎหมายพอสมควรแก่เหตุแล้ว หรือฝ่ายเสื้อแดงเป็นผู้ที่มีอาวุธร้ายจนเข้าข่ายเป็นผู้ก่อการร้ายที่สมควรจะต้องถูกปลิดชีวิตหรือถูกจับกุมคุมขังด้วย “พ.ร.ก.ฉุกเฉินฉบับถาวร” นี้

แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ไม่กล้า เพราะเกรงภัยจะถึงตัวและอำนาจที่มีอยู่จะหลุดลอยไป โดยลืมไปว่าการใช้ พรก.ฉุกเฉินอย่างยาวนานเช่นนี้ย่อมมีวันที่จะสิ้นสุดลงสักวันหนึ่ง อย่างช้าที่สุดก็ภายในอายุของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ที่จะสิ้นสุดลงภายในปลายปี 2554 และจะต้องเลือกตั้งใหม่อยู่ดี และก็ไม่แน่ว่าตนเองจะได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นรัฐบาลเช่นเดิมอีกหรือไม่

การคงอยู่ของ พรก.ฉุกเฉินนี้มีผลดีเฉพาะแต่ทางด้านการเมืองของรัฐบาลในระยะสั้นเหมือนกับการเอาหินทับหญ้าไว้เท่านั้น แต่ผลเสียอื่นกลับมีมากมายนักไม่ว่าจะเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนอย่างสาหัสสากรรจ์โดยไม่ได้แก้ปัญหาความมั่นคงตามที่รัฐบาลว่าไว้แต่อย่างใด ดังจะเห็นได้จากการประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินในภาคใต้อย่างยาวนานแต่ปัญหาความไม่สงบก็ไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด

ผลเสียที่สำคัญที่สุดก็คือผลเสียทางด้านเศรษฐกิจการลงทุนของประเทศนั่นเอง ตราบใดที่ประเทศยังอยู่ในภาวะฉุกเฉิน (state of emergency) อย่าว่าแต่นักท่องเที่ยวจะไม่เข้ามาเลย นักลงทุนทั้งหลายก็ต้องคิดหนัก อย่างน้อยที่สุดต้นทุนที่จะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นก็คือการที่ต้องทำประกันภัยการก่อการร้ายซึ่งแพงมากและต้องจ่ายเพิ่มขึ้นจากปกติอีกหลายเท่าตัว ทั้งๆที่ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นการก่อการร้ายจริงหรือไม่ แต่รัฐบาลกลับประกาศซ้ำแล้วซ้ำอีกออกไปเสียแล้วโดยที่ยังไม่มีคำพิพากษาที่ถึงที่สุดออกมาแต่อย่างใด

ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัวฉันใด ดูฟุตบอลโลกแล้วก็ย้อนดูการดำเนินการทางการเมืองของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เราจะพบว่าแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ซึ่งก็คือผลประโยชน์ของFIFAและผลประโยชน์ของรัฐบาลอภิสิทธิ์กับผู้ที่หนุนหลังอยู่เท่านั้น ส่วนคนดูฟุตบอลหรือประชาชนไทยนั้นก็ต้องก้มหน้ารับกรรมในผลแห่งความละโมบของ FIFA และการเสพติดอำนาจของผู้ที่ถือครองอำนาจรัฐไทยอยู่ต่อไป