ที่มา ข่าวสด
คอลัมน์ เหล็กใน
มันฯ มือเสือ
การเมืองไทยเดินมาถึงจุดเขม็งเกลียวมากขึ้น
นักวิเคราะห์การเมืองที่เคยมั่นใจว่าประเทศไทยหมดยุคสมัยที่จะมีการปฏิวัติอีก หรือถ้ามีก็ไม่น่าจะในเร็ววันนี้
ที่เชื่อเช่นนั้นเพราะประเทศไทยเพิ่งได้รับบทเรียนมาหมาดๆ
ว่าการปฏิวัติเมื่อ 19 กันยาฯ 2549 สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติมากขนาดไหน
ถึงตอนนี้พิษสงของปฏิบัติการลับ-ลวง-พราง ก็ยังถูกชำระล้างออกไปไม่หมด
แม้เศรษฐกิจจะได้รับการฟื้นฟูจนเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังเติบโตได้ไม่เท่าเดิม
ด้านการเมืองไม่ต้องพูดถึง ไล่"ทักษิณ"ออกไปแล้วได้อะไรมาแทน?
ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไรคงเห็นกันอยู่
ขณะที่ด้านสังคม ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พ่อค้า นักธุรกิจ นักศึกษา ครูอาจารย์ พระสงฆ์ หมอ ฯลฯ ประชาชนเกิดความแตกแยกแบ่งฝ่ายอย่างลึกซึ้ง
บาดแผลจากเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 คือหลักฐานประจานความเลวร้ายไปทั่วโลก และยังไม่เห็นหนทางว่าจะเยียวยาปรองดองกันอย่างไร
แต่ปรากฏว่ามาตอนนี้หลายคนที่เคยเชื่อว่าไม่น่าจะมีการปฏิวัติอีกแล้วเสียงเริ่มเปลี่ยนไป
ความมั่นใจกลายเป็นความลังเล เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ด้วยเหตุเพราะมีปัจจัยแทรกซ้อนขึ้นมาใหม่ๆ หลายประการ
ไม่อยากเชื่อ แต่ก็ยอมรับว่าเคลิ้มไปเหมือนกันกับข้อมูลจาก "นายทหารแตงโม" ที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช. ปล่อยออกมา
ทั้งพลเอก "ป" พลเอก "ด" ที่ไปร่วมหารือจัดวางกำลังกันในเซฟเฮาส์
หรือล่าสุดกรณีอดีตนายทหาร "น.ต." ที่ไม่ใช่ทหารม้า แต่ดอดไปร่วมงานวันทหารม้า ที่ จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งมี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เดินทางไปร่วมงาน
บวกกับปฏิกิริยาบิ๊กๆ ในกองทัพหลายคนที่ออกมาปฏิเสธข่าวปฏิวัติด้วยท่าทีแข็งกร้าว เหมือนเด็กขโมยของแล้วถูกจับได้ เลยแกล้งทำเป็นโมโหกลบเกลื่อน
อะไรต่อมิอะไรเลยดูเข้าเค้าไปหมด
สรุปดื้อๆ เลยแล้วกันว่าปัญหาไฟใต้ที่ปะทุรุนแรงต่อเนื่องช่วงนี้ หรืออย่างกรณีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่อุณหภูมิพุ่งสูงใกล้ถึงจุดเดือดอยู่รอมร่อ
เป็นหน้าที่โดยตรงของกองทัพที่จะต้องเป็นหลักในการหาทางคลี่คลาย
ส่วนเรื่องการเมืองปล่อยให้นักการเมืองเขาแก้ปัญหากันเองตามวิถีทางประชาธิปไตย
จะดีกว่ามั้ย