ที่มา ข่าวสด
การ ที่รัฐบาลเพื่อไทยภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ เริ่มต้นด้วยการหลงเดินวนเวียนอยู่กับ ทักษิณ ทำให้สิ้นเปลืองต้นทุนไปไม่น้อย
ไม่ว่ากรณีการถวายฎีกาขอพระ ราชทานอภัยโทษหรือการจุดประ เด็นรื้อฟื้นคดีที่ดินรัชดาฯ ขึ้นมาเรียกร้องให้ศาลฎีกาฯ เปิดการพิจารณาใหม่
ที่กว่าจะเคลียร์กับกระแสสังคมได้ก็เล่นเอาเหนื่อย
ยัง ดีที่ล่าสุดเริ่มมีสัญญาณตอบกลับมาในทางบวกจากการเดินหน้าลุยแก้ปัญหาน้ำ ท่วม ภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ที่กินเวลายาวนานเป็นเดือนๆ กลืนชีวิตชาวบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่แล้วเกือบร้อยชีวิต
ไม่นับรวม ความเสียหายด้านทรัพย์สิน ที่อยู่อาศัย เรือกสวนไร่นานับหมื่นนับแสนไร่ ที่รัฐบาลต้องยื่นมือเข้าไปเยียวยาช่วยเหลือเร่งด่วนที่สุด
ในการประ ชุมครม.ที่ผ่านมา นายกฯ สั่งกระจายงานให้รัฐมนตรีแต่ละคนลงพื้นที่ ติดตามแผนบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบภัยแบบประกบติดรายจังหวัด
แล้วก็เป็นปรากฏการณ์สร้างสีสัน นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ออกโทรทัศน์นั่งรับโทรศัพท์คู่กับดาราแพนเค้ก ในงาน รวมพลังไทย ช่วยภัยน้ำท่วม
จบ รายการ 2 ชั่วโมงเศษ รวบรวมยอดเงินบริจาคได้ 363 ล้านบาท ข่าวแจ้งว่านักธุรกิจระดับหัวแถวของประ เทศ หลายคนแย่งกันควักกระเป๋า เป็นตัวเลขตั้งแต่ 20-30 ไปจนถึง 40 ล้านบาท
ถึงจะเป็นสีสันในช่วง เวลาสั้นๆ แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าภาคเอกชนและนักธุรกิจพร้อมร่วมแรงร่วมใจ ช่วยเหลือนำพาประเทศออกจากวิกฤตความทุกข์ยาก
เพียงแต่รัฐบาลต้องแสดงความพร้อมเป็นฝ่าย เดินนำ ให้เห็นเสียก่อน
กับอีกเรื่องการโหมนโยบายปราบยาเสพติด นายกฯ ยิ่งลักษณ์ เป็นประธานเปิดประชุมปฏิบัติการ พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด
ยกระดับการแก้ไขปัญหายาเสพติดขึ้นเป็น วาระแห่งชาติ ดึงหน่วยงานองค์กรภาครัฐทุกระดับเข้าร่วมแก้ปัญหา
หาก ทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้คือลดระดับความรุนแรงปัญหาลงให้ได้ 80 เปอร์เซ็นต์ในเวลา 1 ปี ก็เชื่อว่าจะช่วยให้รัฐบาลได้คะแนนมาตุนไว้เป็นกอบเป็นกำ
เพียงแต่ผล งานที่ออกมาต้องไม่ระห่ำซ้ำรอยการทำสงครามปราบยาเสพติดในสมัย รัฐบาลทักษิณ ที่ในเวลา 3 เดือนทำให้ปริมาณยาเสพติด ผู้ผลิต และผู้ค้าลดจำนวนลงทันตาเห็น
แต่ ก็ตามมาด้วยการตาย 2,000 ศพที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นการฆ่าตัดตอนหรือไม่ เป็นอีกบาดแผลหนึ่งที่ติดตัวทักษิณมาจนถึงตอนนี้ ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามพร้อมที่จะสะกิดแผลนี้ขึ้นมาตลอดเวลา
นอกจากนี้ การออกเดินสายเยือนผู้นำกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน เริ่มที่ประเทศบรูไน ตามด้วยอินโดนีเซีย กัมพูชา และลาว นอกจากการแนะนำตัวตามธรรมเนียมปฏิบัติหลังเข้ารับตำแหน่ง
ยังถือว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ สอบผ่านบทบาทเวทีเจรจาระดับภูมิภาค โดยเฉพาะคิวเยือนกัมพูชา จับเข่าหารือกับนายกฯ ฮุนเซน ไม้เบื่อไม้เมากับประชาธิปัตย์
เป้าหมายอันดับแรกคือการลุยสางปัญหา ค้างเก่าที่รัฐบาลชุดเก่าขยันก่อไว้ รื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แปรสนามรบตามแนวชายแดนกลับคืนเป็นสนามการค้า
แต่ที่อยู่ในความสนใจ ของสังคมมากที่สุด คือการเจรจาช่วยเหลือนายวีระ สมความคิด กับ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ แกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ
เหยื่อเกมการเมืองระหว่างประเทศในยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ที่ถูกขังลืมอยู่ในคุกเขมร
ถึง จะไม่สามารถช่วยออกมาได้ทันทีแต่ก็มีแนวโน้มในทางบวก เมื่อนายกฯ ฮุนเซน รับปากจะช่วยลดโทษจำคุก วีระ-ราตรี ให้ลงมาอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะขอพระราชทานอภัยโทษได้
เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นการร่วมกันตบหน้าพรรคประชาธิปัตย์ฉาดใหญ่
เท่าที่ดูจากสถานการณ์ยังคงเหลือการโยกย้ายข้าราช การที่ยังไม่ลงตัว
แต่ดูจากกรณีการย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี ออกจากเก้าอี้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ
ตอนแรกมีบางฝ่ายพยายามปลุกกระ แสข้าราชการประจำ ให้ลุกฮือขึ้นต่อต้าน
แต่ เนื่องจากรัฐบาลเพื่อไทยผลัดเปลี่ยนเข้ามาในช่วงถึงฤดูการโยกย้ายเดือน กันยายน การสลับสับเปลี่ยนดึงคนในสายของตัวเองเข้ามาทำงานแทนคนของรัฐบาลชุดเก่า หวังผลให้การผลักดันนโยบายต่างๆ เดินหน้าราบรื่น
จึงเป็นเรื่องอยู่ในขอบเขตที่ข้าราชการทั่วไปทำใจยอมรับได้
อย่าง ไรก็ตาม สิ่งที่รัฐบาลควรคำนึงไว้เสมอคือ ต้องไม่ใช้อำนาจโยกย้ายตามอำเภอใจ ทำให้ภาพออกมาในลักษณะของการล้างบางหรือแก้แค้น มากกว่าเหตุผลเพื่อความเหมาะสมในเรื่องงาน
ถ้าทำได้ก็จะไม่เกิดแรงกระเพื่อม ขยายวงรุนแรงออกไป
โดย เฉพาะการโยกย้ายภายในกองทัพ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษหากต้องการยื่นมือเข้าไป แตะต้อง โผรายชื่อที่ผู้นำแต่ละเหล่าทัพเสนอขึ้นมา
ล่าสุดมีข่าว หลุดออกมาทางสื่อบ้างแล้วถึงความไม่ลงตัวในบางจุด ที่ฝ่ายการเมืองกับฝ่ายการเมือง และฝ่ายการเมืองกับบิ๊กกองทัพ อาจต้องเปิดเจรจากันรอบใหม่
ส่วนจะส่งผลให้ระยะเวลาการนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ต้องยืดยาวออกไปหรือไม่ ไม่มีใครให้คำตอบได้
หรือ ถ้าหากยืดยาวออกไปจริงจะมีผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างกอง ทัพกับรัฐบาลชุดนี้ที่ลุ่มๆ ดอนๆ อยู่แล้ว เกิด เป็นความอึมครึมระลอกใหม่หรือไม่ ไม่มีใครคาดเดาได้เช่นกัน
ด้วยความ ที่รัฐบาลชุดนี้มีข้อได้เปรียบคือมาตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีเสียงสนับ สนุนของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเกราะป้องกันแข็งแกร่ง
การทำอะไรไม่บุ่มบ่ามแต่ก็ไม่จำเป็นต้องพะเน้าพะนอกองทัพเหมือนรัฐบาลที่ถือกำเนิดในค่ายทหารเคยทำ
อย่าง ไรก็แล้วแต่ ถ้าหากรัฐบาลข้ามด่านโผโยกย้ายกองทัพไปได้ การจัดแถวข้าราช การลงตัว บวกกับนโยบายด้านต่างๆ ที่จะเริ่มผลิดอกออกผลในช่วงเดือนมกราคม 2555
ถึงตอนนั้นใครก็คิดโค่นรัฐบาลได้ลำบาก