ที่มา Thai E-News
ฮิลลารี่ตัดสินใจในนาฑีสุดท้าย เธอบอกว่า เอ้า ถ้าท่านนายกฯ มาไม่ได้ เราจะไปหาท่านเอง...หัวใจสำคัญในถ้อยคำแถลงร่วมอยู่ที่การสนับสนุนแก่รัฐบาล“พลเรือนนี้”ของ ไทย ซึ่งสื่อไทยละเลยที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นข่าว แต่นี่ก็ยังไม่ใช่การสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยในไทยอย่างเต็มที่ มันคือยุทธศาสตร์สองขาของสหรัฐฯ..
โดย Rayib Paomano ( คนไทยในอเมริกา )
ที่มา เว็บ Thais' Genuine Democracy Revival
การผ่านกลับมาเยือนประเทศไทย และออกแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ณ ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ศกนี้ ของ นางฮิลลารี่ ร้อดแฮม คลินตัน รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศอเมริกัน ไม่เพียงมีความสำคัญต่อนโยบายต่างประเทศของสหรัฐทางภูมิยุทธศาสตร์ในภูมิภาค ซึ่งเรียกว่า “ศตวรรษแปซิฟิค” เท่านั้น
หากแต่มีนัยยะทางการเมืองล้ำลึกต่อรัฐบาล “นี้” ของพรรคเพื่อไทย และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในสถานการณ์ที่ฝ่ายค้าน สื่อ และขบวนการต้านทักษิณในสังคมออนไลน์ ฉกฉวยเหตุพิบัติจากอุทกภัยสร้างแรงกดดันหมายจะให้เกิดการเปลี่ยนตัวผู้นำ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไปจากชุดปัจจุบันในกลางคัน
นโยบายศตวรรษแปซิฟิค (Pacific Century)*(1) ของสหรัฐฯ เป็นผลพวงจากความล้มเหลวทางทหารของการพัวพันในอิรัก และอาฟกานิสถาน
โดยหันมาเน้นด้านยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจ และการทูตในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิค ดังเช่นที่มีการประกาศจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการอเมริกันในเมืองดาวิน ออสเตรเลีย โดยเลี่ยงไม่เรียกว่าฐานทัพ
แต่จะมีทหารนาวิกโยธิน ๒,๕๐๐ นายประจำการภายใน ๕ ปี (เริ่มต้นที่ ๒๕๐) และความร่วมมืออย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นทางการทหารกับฟิลิปปินส์ อันจะมีการจัดส่งเรือรบประจัญบานลำที่สอง และเครื่องบินขับไล่อีกหลายลำำให้ใช้ปกป้องน่านน้ำด้านตะวันตก ที่ระยะหลังๆ เกิดการกระทบกระทั่งบ่อยๆ กับการขยายแสนยานุภาพของกองทัพเรือจีนในทะเลจีนตอนใต้
ทั้งนี้สหรัฐประกาศว่าเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ในบริเวณดังกล่าวเป็นเส้นทาง เสรีที่จะต้องปกป้อง พลเรือเอกรอเบิร์ต เอฟ. วิลลาร์ด ผู้บัญชาการทัพเรือสหรัฐภาคพื้นแปซิฟิคกล่าวว่า มูลค่าทางการค้าผ่านเส้นทางทะเลจีนตอนใต้นี้ตกปีละ ๕.๓ ล้านล้านดอลลาร์ อันเป็นของสหรัฐเอง ๑.๒ ล้านล้านดอลลาร์*(2)
ก่อนเสร็จสิ้นการประชุมมนตรีเศรษฐกิจเอเปคที่ฮาวาย เมื่อนายกรัฐมนตรีหญิงของไทยของดการเดินทางไปร่วมเพราะสถานการณ์น้ำท่วมหนัก ถึงกรุงเทพฯ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว นางฮิลลารี่พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงกลาโหมเห็นควรที่จะปลีก เวลาไปแวะเยือนประเทศไทยก่อนจะไปสมทบกับประธานาธิบดีบารัค โอบาม่าในการร่วมประชุมสุดยอดกับผู้นำเอเซียตะวันออกที่บาหลี อินโดนีเซีย
ด้วยเหตุผลที่ว่า ประเทศไทยเป็นพันธมิตรเก่าแก่ที่สุด และยังเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของภูมิภาค อุทกภัยครั้งนี้หนักหนาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเป็นเวลายาวนาน
การไปให้กำลังใจ และแสดงการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เป็นส่วนหนึ่งของการคุ้มครองป้องกันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งของสหรัฐฯเอง
ท่าทีของสหรัฐต่อภูมิภาคครั้งนี้ได้รับการวิจารณ์อย่างกว้างขวางในวงการเมืองระหว่างประเทศว่า เป็นการสกัดกั้นอิทธิพลของจีน
ซึ่งนอกจากจะขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับสองแซงหน้าญี่ปุ่นแล้ว จีนยังกำลังขยายสมรรถนะในทางการทหารของตนอย่างรวดเร็ว
งบประมาณกลาโหมของจีนเพิ่มพรวดสามเท่าเป็น ๑๖๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว แต่ประธานาธิบดีโอบาม่ากล่าวในการแถลงอย่างทางการที่แคนเบอร่าว่า สหรัฐฯไม่ได้กลับมากระฉับกระเฉงในภูมิภาคอีกครั้ง เพราะกลัวอิทธิพลของจีนแต่อย่างใด และความคิดที่ว่าสหรัฐจะสกัดตัดจีนออกไปก็ไม่ถูกต้อง ศูนย์ปฏิบัติการที่จัดตั้งในดาวินไว้เพื่อช่วยในการฝึกฝน และซ้อมรบแก่พันธมิตรของสหรัฐเป็นหลักใหญ่เท่านั้น*(3)
ยิ่งในกรณีของไทยไม่มีการพูดถึงการร่วมมือใดๆ ทางการทหาร เว้นแต่ที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์แจ้งว่า รัฐบาลไทยได้ตกลงใจมอบสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นศูนย์กลางปฏิบัติการกอบกู้ความ เสียหายจากภัยธรรมชาติสำหรับทั่วภูมิภาค
ส่วนนางฮิลลารี่กล่าวถึงความช่วยเหลือในด้านมนุษยธรรมที่เรือรบหลวงแลสเส็น ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่งกำลังเข้าเทียบท่าในอ่าวไทย จะช่วยทางการไทยในเรื่องเฮลิค็อปเตอร์ขนส่งตลอดการฟื้นฟูอันยาวนานที่จะตาม มาหลังน้ำลด กับเข้าสนับสนุนสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อให้โรงพักที่ได้รับความเสียหาย สามารถกลับมาเปิดทำการได้อย่างเต็มพิกัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะช่วยซ่อมแซมท่าอากาศยานดอนเมืองให้กลับมาใช้งาน และเปิดบริการได้โดยเร็วไว ขณะนี้ทีมประเมินสถานการณ์ของกองทัพสหรัฐฯได้ลงพื้นที่เตรียมพร้อมสำหรับ ปฏิบัติการกู้สาธารณูปโภค สาธารณสุข และบริการสาธารณะต่างๆ ให้กลับคืนสู่ปรกติแล้ว
นางฮิลลารี่ยังอ้างถึงการประสานขอความช่วยเหลือจากบริษัทเอกชนอเมริกัน อาทิ โคคาโคล่า และเชฟร่อน บริจาคเงิน และให้ความร่วมมือโครงการฟื้นฟูต่างๆ
หัวใจสำคัญในถ้อยคำของนางฮิลลารี่ที่กล่าวระหว่างการแถลงร่วมกับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ อยู่ที่การสนับสนุนแก่รัฐบาล “พลเรือน” ของไทยในทางการเมือง
ซึ่งดูเหมือนสื่อมวลชนของไทยหลายแห่งละเลยที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นข่าว ดังที่ ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการสถาบันคดีศึกษาเอเซียอาคเนย์ ในสิงคโปร์ ให้ข้อคิดไว้ในการให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ประชาไทออนไลน์*(4)
ชวนให้คิดต่อไปว่า สื่อไทยหลายแห่งที่ยังเลือกข้างพรรคประชาธิปัตย์เหนียวแน่น หรือตั้งแง่ให้ร้ายทุกสิ่งทุกอย่างทีโยงใยไปถึงอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือสองอย่างรวมกัน ซึ่งเป็นสื่อสายหลัก ตั้งแต่ น.ส.พ.ไทยรัฐ เดลินิวส์ เครือเนชั่น ค่ายผู้จัดการ แก๊งแนวหน้า ก๊วนไทยโพสต์ สื่อทีวีที่เนชั่นได้สัมปทาน และนักจัดรายการที่อ้างว่ารู้ทันทักษิณ ล้วนแล้วแต่มีวาระซ่อนเร้น
โดยเชื่อว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จักต้องพับฐานภายใน ๖ เดือนเหมือนดั่งฟ้าลิขิต จึงยังไม่กล้าที่จะนำเสนอถ้อยวจีของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯอย่างเจาะลึก ต่างละไว้เพื่อรอท่าทีดูว่าจะมีเมฆฝนคะนองตามมาหรือไม่ เมื่อใดฟ้าเปิดแล้วจึงค่อยเลิกปิดหูปิดตา และปิดปาก
นางฮิลลารี่กล่าวอย่างตั้งใจถึงอุทกภัยร้ายแรงที่รัฐบาลใหม่ และประชาชนไทยได้รับว่า เป็นการท้าทายอย่างยิ่ง หลังจากที่ต้องต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสันติภาพโดยยากลำบากท่ามกลางความรุนแรงทาง การเมือง
“สหรัฐอเมริกายืนหยัดอย่างเหนียวแน่นเบื้องหลังรัฐบาลพลเรือนของไทย และผลงานที่รัฐบาลกระทำให้สถาบันประชาธิปไตยเป็นปึกแผ่น มั่นคงในธรรมาภิบาล ประกันหลักนิติธรรม ปกป้องสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพพื้นฐาน เราส่งเสริมให้รัฐบาลมุ่งหน้าต่อไปในกระบวนการปรองดองแห่งชาติ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อความมั่นคง และยืนยงของประเทศไทย”*(5)
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตีความคำปราศรัยของนางฮิลลารี่ในที่นี้ว่าเป็นเสมือนคำ ประกาศรับรองรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ท่ามกลางการจัดระเบียบกระบวนความมั่นคงทางทหารของสหรัฐฯในภูมิภาค นำร่องไปสู่การประชุมสุดยอดผู้นำชาติเอเซียตะวันออก นั้นเกิดจากกระแสเคลื่อนไหวของการสื่อสารภายในแวดวงเจ้าหน้าที่ระดับสูงทาง ด้านความมั่นคง และต่างประเทศ ของสหรัฐก่อนหน้านี้ ๑-๒ วัน
ซึ่งได้มีการวิเคราะห์ถกเถียงกันแล้วบนหน้าเว็บบล็อกของนิวแมนดาลา จากข้อเขียนของ Achara Ashayagachat เรื่อง “Big Sister in Town”*(6) โดยมีเนื้อหาชัดแจ้งอยู่ในบันทึกการให้รายละเอียดของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ สหรัฐฯสามคน จากกระทรวงต่างประเทศสองคน และจากกระทรวงกลาโหมหนึ่งคน ดังที่ปรากฏในบันทึกการประชุมสรุปสถานการณ์ก่อนคณะของรัฐมนตรีต่างประเทศจะ เดินทางไปกรุงมะนิลา และกรุงเทพฯ
สืบเนื่องมาจากการที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์บอกงดการเดินทางไปฮาวาย เจ้าหน้ากระทรวงต่างประเทศคนหนึ่งกล่าวว่า
“ท่านรัฐมนตรี (ฮิลลารี่) ตัดสินใจในนาฑีสุดท้าย เธอบอกว่า เอ้า ถ้าท่านนายกฯ มาไม่ได้ เราจะไปหาท่านเอง”และเสริมโดยเจ้าหน้าที่กลาโหมว่า
“ครั้น เมื่อรัฐมนตรีกลาโหม ลีออน แพเน็ตต้า ทราบเข้า ท่านก็กระโดดเข้ามาขอร่วมด้วยทันที นี่รัฐบาล (สหรัฐ) ทั้งหมดเลยนะ ให้การสนับสนุนมาตรการช่วยแก้ไขน้ำท่วมของประเทศไทย”แล้วต่อด้วยเจ้าหน้าที่ต่างประเทศอีกคน
“นี่ เป็นตัวอย่างการร่วมทีมระหว่างรัฐมนตรีคลินตันกับแพเน็ตต้าในการให้ความช่วย เหลือที่จำเป็น ดังเช่นที่ทำในลิเบีย ในโครงการนักรบผู้บาดเจ็บ ตอนนี้มาร่วมกันเรื่องน้ำท่วมประเทศไทย” *(7)
อีกเช่นกัน ประเด็นสำคัญในการสรุปรายละเอียดของสามเจ้าหน้าที่ระดับสูงรัฐบาลอเมริกัน อยู่ที่ข้อความจากปากของเจ้าหน้าที่ต่างประเทศคนที่หนึ่งว่า
“สาระ อันหนึ่งซึ่งท่านรัฐมนตรีต่างประเทศจะนำไปบอกประชาชนและรัฐบาลไทยก็คือ เราเชื่อแน่ว่าเป็นเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ และผลประโยชน์ทางการเมืองของสหรัฐที่จะให้รัฐบาลนี้ประสพความสำเร็จ เราจะทำเท่าที่ทำได้ในการสนับสนุนหลักการนี้ต่อไปข้างหน้า”
ข้อถกเถียงในนิวแมนดาลาต่อคำว่า “รัฐบาลนี้” ข้างต้น เป็นการยืนยันคำปราศรัยของนางฮิลลารี่ที่อ้างถึง “รัฐบาลพลเรือน” ว่าไม่ได้หมายถึงรัฐบาลพลเรือนอื่นที่ไม่ได้มาตามหลักประชาธิปไตยแท้จริง
ดูคล้ายกับว่านโยบายต่างประเทศต่อไทยของรัฐบาลโอบาม่าผ่านทางนางฮิลลารี่ เปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย จากท่าทีที่เคยเมินเฉยต่อกรณีการสลายการชุมนุมของประชาชนเสื้อแดงด้วยกระสุน จริง และพลแม่นปืน โดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน และ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมกันกว่าร้อยคน รวมทั้งนักข่าวต่างประเทศ และอาสาสมัครช่วยผู้ประสพภัย
ตลอดถึงอาการเฉยชาของเอกอัคราชทูตคริสตี้ เค็นนี่ย์ ต่อประเด็นเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนอันเกี่ยวเนื่องกับประมวลกฏหมาย อาญามาตรา ๑๑๒ และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ ในการจับกุมนายโจ กอร์ดอน บุคคลเชื้อชาติไทย สัญชาติอเมริกัน กับการงดแสดงความคิดเห็นของตัวแทนสหรัฐในที่ประชุมสำรวจผลการดำเนินงานของ สมัชชาสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติที่กรุงเจนีวาเมื่อต้นเดือนตุลาคมศกนี้ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ลงมติให้ประเทศไทยทบทวนการบังคับใช้กฏหมายหมิ่นพระบรมเด ชานุภาพพระมหากษัตริย์*(8)
หรือจะเป็นเพราะรัฐบาลสหรัฐฯยึดธรรมเนียมปฏิบัติตามคำแนะนำของเอกอัคราชทูตแอริค จอห์น เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๒ ว่า
“เรา ไม่แนะนำให้รัฐบาลสหรัฐกล่าวถึงการบังคับใช้กฏหมาย (หมิ่นฯ) ในทางสาธารณะ หรือเจาะจงคดีใดคดีหนึ่ง แต่จะยกขึ้นมาปรารภเป็นการเฉพาะในทางลับ และบรรจุเอกสารเกี่ยวเนื่องไว้ในรายงานด้านสิทธิมนุษยชน”*(9)ก็ ตาม แต่การแถลงสนับสนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างโจ่งแจ้งโดยรัฐมนตรีต่างประเทศ ครั้งนี้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าทำไม่รู้ไม่ชี้กับการที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ละเมิดสิทธิมนุษยชน และกดขี่ไม่ให้ประชาชนแสดงความเห็นอย่างเสรี
ซึ่งทั้งสองกรณี ไม่ว่าเรื่อง Human Rights หรือ Freedom of Speech เป็นค่านิยมสูงส่งอยู่ในวัฒนธรรม และอุดมการณ์ทางการเมืองของอเมริกา
จึงเป็นไปได้ว่า น่าจะอยู่ในกรอบของการดำเนินนโยบายแบบคู่ขนาน (Dual) หรือสองก้าน (Two prongs) อันเทียบได้กับหลักการที่แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินเรียกว่า “ยุทธศาสตร์สองขา” คือสองแนวทางที่มุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯใช้ยุทธวิธีเช่นนี้อยู่เสมอ เห็นได้ในความสัมพันธ์ที่สหรัฐมีต่อภูมิภาคตะวันออกกลางตลอดปรากฏการณ์ อาหรับเบ่งบาน (Arab Spring)
ไม่ว่าตูนิเซีย อียิปต์ เยเมน ลิเบีย หรือซีเรีย
ตัวอย่างจะจะ ดูได้จากสถานการณ์หลังการปฏิวัติอียิปต์ซึ่งขบวนการประชาชนพยายามเปลี่ยน ผ่านไปสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดี และระบบประชาธิปไตยอย่างเต็มตัว หากแต่สภาสูงสุดของกองทัพ (Supreme Council of the Armed Forces) ซึ่งเป็นรัฐบาลชั่วคราวตัวจริงเสียงจริงขณะนี้ พยายามเหนี่ยวรั้งไม่ให้มีการเลือกตั้งเร็วนัก
แทนที่จะมอบอำนาจคืนแก่พลเรือนในเดือนกันยายนตามสัญญา กลับเตะถ่วงจนเลยกำหนดมาแล้วยังออกประกาศมาใหม่ว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นไม่ ได้จนกว่าถึงปี ๒๕๕๖ แถมกำลังบรรจุเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญให้อำนาจพิเศษแก่กองทัพ พร้อมทั้งบางบทที่ปกป้องฝ่ายทหารจากการตรวจสอบของพลเรือน สร้างความไม่พอใจแก่พลังประชาชนที่เป็นผู้ผลักดันการปฏิวัติจนสำเร็จ ถึงขั้นหวั่นกันว่าการประท้วง และความรุนแรงจะกลับมาอีก
สหรัฐฯที่เคยขุนกองทัพอียิปต์มาตลอด แม้ขณะนี้ยังคงมีเม็ดเงินช่วยเหลือทางทหารลงไปเกื้อหนุนปีละไม่ต่ำกว่า ๑,๓๐๐ ล้านดอลลาร์ จึงหนีไม่พ้นตกเป็นจำเลยร่วมไปด้วยว่า ไม่จริงใจต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของอียิปต์ ถ้าหากมันไม่อำนวยประโยชน์แก่สหรัฐฯอย่างเต็มที่
กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯจึงหันมาใช้ยุทธศาสตร์สองขา ไม่กล้าแสดงตัวให้ท้ายฝ่ายทหารแจ้งชัด และเข้าหากลุ่มนักปฏิวัติ กลุ่มศาสนา-ภราดรภาพมุสลิม และอดีตพรรคการเมืองฝ่ายค้าน โดยที่นางฮิลลารี่แสดงปาฐกถายืนยันค่านิยมทางประชาธิปไตย และสิทธิในการเลือกรัฐบาลพลเรือน ซึ่งผู้ช่วยของเธอขยายความว่า นั่นเป็นการเตือนสภาสูงสุดของกองทัพอียิปต์ให้รักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ เรื่องกำหนดเลือกตั้ง*(10)
สำหรับประเทศไทยซึ่งนางฮิลลารี่ย้ำแล้วย้ำอีกว่า เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯมาเป็นเวลายาวนาน เพราะแน่นแฟ้นซี้ปึ้กเมื่อตอนสงครามเวียตนาม และสงครามเย็นสกัดกั้นการแผ่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเซีย รวมไปถึงการผลักดันให้ไทยกวาดล้างทำลายไร่ฝิ่นในถิ่นชาวเขาทั่วทั้งภาคเหนือ
ความช่วยเหลือด้วยเม็ดเงินอุดหนุนทางทหารที่ลงไปยังกองทัพไทยในรูปงบฯ ลับ ตั้งแต่ยุคสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เรื่อยมา ผ่านถนอม-ประภาส-ฉลาด-กฤษณ์-อาทิตย์-ป๋า ล้วนเป็นสายใยแก้วกระชับมิตรภาพระหว่างสหรัฐฯกับทหารไทยไม่ด้อยน้อยหน้า อียิปต์เท่าไรนัก
ดังนั้นการที่นางฮิลลารี่พูดถึงรัฐบาล “พลเรือน” และเจ้าหน้าที่ชั้นสูงกระทรวงต่างประเทศสหรัฐระบุชัดว่าเป็นรัฐบาล “นี้” ของไทย จึงมีนัยยะอันสำคัญมาก
“สำคัญ” ในกรณีที่ว่าถึงเวลาสหรัฐฯ (ผ่านทางนางฮิลลารี่) ปรามทหารไทยให้วกกลับมาเดินทางเดียวกับพลเรือนในแนวการเมืองประชาธิปไตย กระนั้นหรือ ผู้เขียนคิดว่าไม่น่าจะพลิกผันได้ถึงขนาดนั้น
แต่ถ้าเป็นการพยักหน้าให้รู้กันว่าเดินขนานได้ แต่ต้องไปในทิศทางเดียวกันละก็พอเป็นไปได้ ในเมื่อการเลือกตั้งซึ่งเป็นทางเบี่ยงเลี่ยงการแตกหักถูกสร้างมาเสร็จเรียบ ร้อยแล้ว จะดันทุรังเหมือนดั่ง “กลกบเกิดในสระจ้อย” ชนชั้นกลางเก่ากลางใหม่ (สุกๆ ดิบๆ) ผู้ดีมีสกุลรุนชาติ ดัดจริตว่าฟังอังกฤษคล่องทั้งหลาย ที่ร้องแรกแหกกระเฌอกันอยู่ตามเว็บโซเชียลมีเดีย
มิหนำซ้ำสามหาวหยาบคายจะเอานายกฯ หน้าฮักของตนกลับมานั่งบนโพเดี้ยมอีกให้ได้ แต่หารู้ไม่ว่านายทหารไทยไม่บ้าจี้ รู้จักที่ทาง รู้วางท่าที ขิงไม่แก่ ข่าก็ไม่อ่อน รู้ดีว่าถึงสหรัฐฯจะไม่ใช่พี่ แต่สหรัฐก็แนบชิดกับเฮียมาแต่ไหนแต่ไร จะฝืนทำสามหาว เสียโอกาสทำกินเปล่าๆ
อย่างไรก็ดี คำพูดของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯระหว่างการสนทนาสรุป การเตรียมงานเดินทางเยือนไทยของรัฐมนตรีคลินตันที่ว่า
“ยังมี ความตึงเครียดอยู่มากในประเทศไทย และความตึงเครียดเหล่านั้นคงจะไม่ผ่อนคลายไปง่ายๆ หลังการเลือกตั้งครั้งเดียว หรือถึงสองสามครั้ง”สะท้อนความ หวังที่จะเห็นการเมืองไทยเดินหน้าต่อไปในวิถีประชาธิปไตยอย่างสมานฉันท์ยิ่ง ขึ้น เมื่อช่องว่างทางความคิดระหว่างคนมีมากกว่า (The Have) กับคนมีน้อยกว่า (The Have Not) จะแคบเข้ามาอยู่ในระนาบเดียวกันถายในระยะเวลาไม่นานนัก
เพราะว่าเดี๋ยวนี้ฝ่ายที่มีมากกว่า (ราวสิบล้านเศษๆ ละมัง) ลดจิตสำนึกทางปัญญาอย่างต่อเนื่องลงไปหาระดับของฝ่ายที่เคยถูกตราหน้าว่า บ้านนอกคอกนา หรือผู้ที่มีน้อยกว่า (จำนวนเกือบสิบเจ็ดล้าน) ซึ่งในขณะเดียวกันพัฒนาทักษะวิสัยทัศน์ของตนอย่างรวดเร็วจนสวนทางกลับไปแทน ที่พวกสิบล้านแล้วก็มาก
วิเคราะห์อย่างคนที่รักสันติ และต้องมีน้ำอดน้ำทน หากการก้าวสองขามาหาไทยของสหรัฐฯสามารถทำให้มีการเลือกตั้งได้ตามวงจรของมัน อีกสักสองครั้ง ซึ่งปาเข้าไปแปดปี น่าจะพอหวังได้ว่าการเมืองไทยจะปรับตัวเองไปตามกระแสเสียงที่เคยเรียกร้อง โอกาสในมาตรฐานเดียวกัน
และการยอมรับมติแห่งเสียงข้างมากได้
*(1) http://www.foreignpolicy.com/americas_pacific_century
*(2) http://www.nytimes.com/china-everywhere
*(3) http://news.yahoo.com/us-does-not-fear-china
*(4) http://www.prachatai.com/journal/2011/11/37900
*(5) http://www.state.gov/secretary/rm/2011/11/177263.html
*(6) http://asiapacific.anu.edu.au/newmandala/2011/11/16/big-sister-in-town/
*(7) http://www.state.gov/r/pa/prs/ps/2011/11/177158.htm
*(8) http://asiancorrespondent.com/pressure-against-thailands-lese-majeste-law
*(9) http://thaicables.wordpress.com/category/lesse-majesty/
*(10) http://www.nytimes.com/egypt-military-stalls-transition
******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง
-โอบาม่า:ยินดีต่อชัยชนะที่เป็นแรงบันดาลใจของยิ่งลักษณ์
-Conspiracy Theory-สมคบคิดป่วนประเทศไทย
-ภาษาไทยอยู่ตรงไหน?