ที่มา ประชาไท
ด้วย พระนามของอัลลอฮ์ผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ ขอความสันติ ความจำเริญแด่ศาสนฑูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน
14 กุมภาพันธ์ของทุกปีคือ “วันวาเลนไทน์” หรือ “วันแห่งความรัก” วันดังกล่าวได้กลายเป็นวันที่มีความหมายยิ่งใหญ่สำหรับคนหลายๆ คน รวมทั้งวัยรุ่นไทย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ววันวาเลนไทน์มีความผูกพันเกี่ยวข้องกับเรื่องราว วิถีชีวิต หรือประวัติศาสตร์ของคนไทยน้อยมาก
ความเป็นมาเกี่ยวกับวันวาเลนไทน์ก็เป็นเรื่องค่อนข้างจะคลุมเครือ สืบหาหลักฐานที่แน่นอนไม่ได้มากนัก ได้แต่สันนิษฐานกันไป ไม่มีต้นกำเนิดของเรื่องหรือบันทึกที่ชัดเจนในตำรับตำราหรือหนังสือหลักๆ เรื่องราวเท่าที่สันนิษฐานกันพอสรุปได้ดังนี้
วาเลนไทน์ (Valentine) คือวันที่ระลึกถึงนักบุญ เซนต์ วาเลนไทน์ (Saint Valentine) ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา ความรัก และความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง แต่สุดท้ายเขาต้องจบชีวิตลงด้วยการรับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หรือเมื่อประมาณ 1,728 ปีล่วงมาแล้ว ซึ่งเป็นยุคสมัยของจักรวรรดิโรมันที่ศาสนาคริสต์ยังไม่เป็นที่ยอมรับ
ซ้ำร้ายภายใต้การปกครองของกษัตริย์ "คลอดิอุสที่ 2" ยังมีการออกกฎหมายบีบบังคับให้ประชาชนเลิกนับถือศาสนาคริสต์ และห้ามมีแต่งงานของพวกคริสเตียนอีกต่างหาก
ทว่ายังคงมีผู้นำคริสเตียนคนหนึ่งชื่อ "วาเลนตินัส" หรือที่ได้รับการยกย่องเป็น เซนต์ วาเลนไทน์ ในภายหลัง คอยลักลอบแอบจัดงานแต่งงานให้กับคู่รักคริสเตียนจนถูกจับขังและรับโทษทรมาน แสนสาหัสอยู่ในคุก
ในขณะที่ถูกคุมขังนั้น เขาก็พบรักกับสาวตาบอดซึ่งเธอเป็นลูกสาวของผู้คุมในคุก ด้วยความรักและคำอธิษฐานของเขา พระเจ้าได้ทรงโปรดให้ตาของสาวคนรักหายเป็นปกติ เมื่อความนี้ล่วงรู้ถึงกษัตริย์คลอดิอุสที่ 2 พระองค์จึงสั่งให้ลงโทษ วาเลนตินัส ด้วยการโบยและนำไปประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ
ในคืนสุดท้ายก่อนที่เขาจะถูกนำไปประหารนั้น เขาได้เขียนจดหมายสั้นๆ เป็นการอำลาส่งไปให้หญิงคนรักของเขา โดยลงท้ายในจดหมายว่า "...จากวาเลนไทน์ของเธอ” หรือ “Love From Your Valentine”
ต่อมาเมื่อคนทั่วไปทราบเรื่องจึงเกิดความประทับใจในความรักของเขา ยึดถือเอาวันที่14 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็น "วันแห่งความรัก" หรือ Saint Valentine's Day หรือ Valentine's Day และได้นิยมแพร่หลายไปทั่วยุโรป อเมริกา และทวีปเอเชีย รวมทั้งประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ด้วยพลวัตของโลกท่ามกลางกระแสทุนนิยมเสรีและบริโภคนิยมสุดขั้วที่โหมกระหน่ำ ทำให้สังคมเริ่มฟอนเฟะ นำพาเด็กและเยาวชนก้าวไปสู่พฤติกรรมมั่วเพศ หรือ “เซ็กซ์เสรี” มากขึ้น วันวาเลนไทน์กลายเป็นอีกวันหนึ่งซึ่งเกิดอุบัติการณ์ “เสียตัว” มากกว่าวันปกติ ถึงขนาดมีการพูดเชิงประชดประชันว่าเป็น “วันเสียตัวแห่งชาติ” กันเลยทีเดียว
เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุข( สธ.) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวว่า “เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา สธ.ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สำรวจพฤติกรรมเยาวชน อายุ 12-24 ปี ที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร จากกลุ่มตัวอย่าง 1,014 คน พบว่า เยาวชนไทย เริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเมื่ออายุประมาณ 14-15 ปี เยาวชนประมาณ 1 ใน 3 ยอมรับว่าเคย "สวิงกิ้ง" หรือเปลี่ยนคู่นอน”
ด้าน น.ส.ณัฐยา บุญภักดี ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ กล่าวว่า คือ ความเสี่ยงที่เด็กจะมีเพศสัมพันธ์ได้ ไม่ใช่แค่วันวาเลนไทน์เท่านั้น
"สถานที่เสี่ยงมีอยู่ทั่วไปและเกิดขึ้นได้ทุกวัน เช่น ตอนกลางวันที่บ้าน พ่อแม่ ไปทำงาน หรือปัจจุบันในต่างจังหวัดจะพบว่ามีธุรกิจที่เปิดเป็นรีสอร์ตขนาดเล็ก ให้เช่าเป็นรายวัน รายชั่วโมง และไม่จำกัดอายุของผู้จะเข้าพักหรือในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็มีห้องพักรายชั่วโมง รายวัน ให้เช่า โดยห้องพักลักษณะนี้จะถูกจับจ้องน้อยกว่า หากจะเปรียบเทียบก็เหมือนกับธุรกิจม่านรูดในสมัยก่อน คงต้องขึ้นอยู่กับจรรยาบรรณทางธุรกิจว่าจะเอาใจใส่เรื่องความเสี่ยงของ เยาวชนหรือไม่ เพราะไม่ได้มีกฎหมายใดๆ ควบคุม"
โปรดดู: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1328779544&grpid=00&catid=&subcatid=
ทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องเพศของนักเรียน นักศึกษา ซึ่งถือเป็นปัญญาชน และเป็นมันสมองของชาติ พบความจริงที่น่าเป็นห่วงมากสำหรับประเทศไทย กล่าวคือ ทัศนคติของนิสิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยทั้งของรัฐและเอกชน ต่างถือว่าการมีแฟนเป็นเรื่องสำคัญ การมีคู่ก่อนแต่งงานเป็นสิ่งจำเป็น ถือเป็นการเพิ่มสีสันให้ชีวิต ทำให้รู้สึกมีคุณค่า เป็นสิ่งที่สังคมต้องการ หากไม่มีคู่หรือแฟนเป็นสิ่งที่น่าอับอาย
นักศึกษาไม่ว่าชายหรือหญิงต่างมีทัศนะว่า ความบริสุทธิ์ทางเพศไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป และหากเกิดพลาดพลั้งตั้งครรภ์ ก็สามารถทำแท้งได้โดยไม่รู้สึกละอาย ส่วนวัยรุ่นหญิงในโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยอมรับว่ามีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่ง งาน ขณะที่นักเรียนระดับมัธยมศึกษามีทัศนะว่า การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนไม่ใช่เรื่องเสียหาย การโอบกอดระหว่างชายหญิงในที่สาธารณะเป็นเรื่องที่ยอมรับได้
ความจริงที่น่าเป็นห่วงอันสืบเนื่อง มาจากการถาโถมของค่านิยมเรื่อง “เซ็กซ์เสรี” ในยุคที่สื่อไร้พรมแดนไม่ได้จำกัดเพียงแค่นั้น เพราะอิทธิพลของมันยังทำให้สังคมมุสลิมที่มีความเป็นชุมชนอนุรักษ์ด้านศาสนา และวัฒนธรรมสูงเริ่มสั่นคลอนไปด้วย
ปัจจุบันเริ่มมีสภาพครอบครัวแตกสลาย การขาดระเบียบทางสังคม ตลอดจนความยุ่งเหยิงทางวัฒนธรรม ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดความจำเป็นอันยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยเกิดมาก่อนที่ต้องนำคำ สอนของอิสลามเกี่ยวกับครอบครัวและวัฒนธรรมทางเพศมากล่าวถึง
ก่อนจะมีค่านิยมเรื่อง “เซ็กซ์เสรี” นั้น มีค่านิยมหนึ่งที่แพร่หลายในสังคมมุสลิมคือ “ระบอบแฟน” เยาวชนหลายคนเข้าใจว่า “ระบอบแฟน” นี้เป็นการแสดงสายสัมพันธ์ความรักในวัยหนุ่มสาวโดยไม่มีอะไรเลยเถิด แต่นั่นนับว่าเป็นขั้นตอนที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง
หากเราศึกษารายงานจากหลายๆ แหล่งจะพบว่า เหตุแห่งการเสียตัวในภาวะที่บรรยากาศพาไปมีสูงมาก บางคนอยู่ในภาวะคล้ายๆ ถูกข่มขืนเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังทำให้มีปัญหาท้องก่อนแต่งตามมา โดยเกิดมาจากความสัมพันธ์ที่เป็นแฟนกันก่อนนั่นเอง นี่เป็นอันตรายที่หลายคนคิดไม่ถึง
และแม้ว่าจะไม่มีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น (ท้องก่อนแต่ง) แต่หากว่าทั้งคู่เลิกรากัน (บ่อยครั้งมักจะเป็นเช่นนั้น) คนที่มักจะเสียเปรียบมากคือฝ่ายหญิง เนื่องจากจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ชายที่ดี
อ.บรรจง บินกาซัน นักวิชาการอิสลาม มีทรรศนะว่า อิสลามยอมรับในเรื่องของความรัก เพราะความรักนี้เป็นสัญชาตญาณที่อัลลอฮ์ประทานให้แก่มนุษย์ และจากความรักนี้เองที่ก่อให้เกิดหลายสิ่งหลายอย่างตามมา เช่น ความรักที่แม่มีต่อลูก ทำให้แม่คอยปกป้องเลี้ยงดูและยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อลูก ความรักชาติก็อาจทำให้คนบางคนยอมพลีชีวิตของตนเพื่อปกป้องมาตุภูมิ ที่สำคัญอิสลามไม่ได้ปฏิเสธความรักระหว่างหนุ่มสาว เพราะมันก่อให้เกิดสถาบันครอบครัว แต่อิสลามปฏิเสธความรักที่เสรีไม่มีขอบเขต
ความรักนั้นต้องมีขอบเขตแห่งความพอดี เพราะหากความรักเกินขอบเขตแล้ว เช่น ตามใจลูกทุกอย่าง ก็จะทำให้ลูกเสียคน หรือถ้าหากรักชาติมากเกินไปก็จะกลายเป็นคนคลั่งชาติที่คิดว่าชาติของตนดี กว่าชาติอื่น เป็นต้น ดังนั้นความรักจึงต้องมีขอบเขตแห่งความพอดี
ความรักฉันหนุ่มสาวก็เช่นกัน หากความรักนั้นเกินพอดี ความรักก็จะทำให้คนตาบอด หรือกลายเป็นโคถึกไป ด้วยเหตุนี้อิสลามจึงได้กำหนดขอบเขตว่า หญิงและชายมุสลิมจะต้องแต่งงานก่อนมีเพศสัมพันธ์ (เซ็กซ์) เพราะหากมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน จะนำไปสู่การล่มสลายทางสังคมอย่างแน่นอน
เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงเป็นสิ่งที่มิอาจปฏิเสธได้ ดังนั้นทางสายกลางคือความสัมพันธ์ชายหญิงต้องผ่านการแต่งงาน
ในหลักศาสนาได้ให้ความสำคัญกับการแต่งงานไว้อย่างมาก บรรดาอัครสาวกแด่ศาสนฑูตมุฮัมมัดได้เคยถามท่านไว้ความว่า “โอ้ เราะซูลุลลอฮฺ (ศาสนฑูตมุฮัมมัด) การที่คนใดคนหนึ่งในหมู่พวกเราได้สนองตอบต่ออารมณ์ใคร่ของตัวเขาเอง สำหรับเขาแล้วมีรางวัลด้วยหรือ?”
ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม (ศาสนฑูตมุฮัมมัด) กล่าวตอบว่า “ท่านไม่เห็นดอกหรือว่า หากว่าเขาได้นำอารมณ์ใคร่ไปสู่สิ่งต้องห้าม เขาต้องแบกรับความผิดเนื่องจากมันมิใช่หรือ? ทำนองเดียวกันเมื่อเขานำมันไปสู่สิ่งที่อนุมัติ เขาก็ย่อมได้รับรางวัล” (บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม)
อีกบทหนึ่งบันทึกโดย อิหม่ามอัล บุคอรี เมื่อเศาะฮาบะฮฺกลุ่มหนึ่งที่พูดคุยกันในเรื่อง “ความดี” ในศาสนา คนหนึ่งกล่าวว่า “สำหรับฉัน ฉันทำละหมาดในเวลากลางคืนเสมอ” อีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ฉันไม่ยุ่งกับผู้หญิง ฉันจะไม่แต่งงาน”
ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม (ศาสนฑูตมุฮัมมัดม) กล่าวทักท้วงว่า “ฉันเป็นที่เกรงกลัวอัลลอฮฺที่สุดในหมู่พวกท่าน แต่ฉันก็ถือศีลอดและละศีลอด ฉันละหมาดและฉันก็นอน และฉันก็แต่งงานกับผู้หญิง ใครก็ตามที่รังเกียจวิถีชีวิตของฉัน ก็ไม่ใช่พวกฉัน”
หากมองอย่างผิวจะพบว่าเซ็กซ์เสรีกับการมีเพศสัมพันธ์ผ่านการแต่งงานน่าจะ ถือ ว่าเป็นการตอบสนองอารมณ์ใคร่ของมนุษย์ที่ไม่น่าจะเป็นเรื่อง “ดี” อะไรเลย แต่จากหลักการของศาสนาและจุดยืนของศาสดาพบว่า เพศสัมพันธ์เป็นสิ่งธรรมชาติที่มนุษย์ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ “เซ็กซ์เสรี” เป็นความสัมพันธ์ที่ถูกปฏิเสธจากหลักการศาสนา ขณะที่เพศสัมพันธ์ผ่านการแต่งงานถือเป็น “ความดี” ด้วยการกำหนดให้การแต่งงานเป็นคุณธรรม
ทำไมเพศสัมพันธ์ต้องผ่านการแต่งงาน? สาเหตุที่อิสลามสนับสนุนการแต่งงานเพราะว่าการแต่งงานเป็นการเริ่มต้นชีวิต ครอบครัวซึ่งเป็น “อิฐก้อนแรก” ของสังคม และอิสลามก็ต้องการที่จะรักษาก้อนอิฐทุกก้อนไว้ไม่ให้แตกสลาย ทั้งนี้เพื่อที่สังคมจะได้ไม่พังทลายลง
ในอิสลาม ชีวิตมิได้จบแค่บนโลกนี้ แต่ความตายเป็นเพียงการเริ่มต้นชีวิตจริงที่ถาวร หัวหน้าครอบครัวนอกจากจะมีหน้าที่เลี้ยงดูครอบครัวแล้ว ยังมีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องตัวเองและครอบครัวให้พ้นจากไฟนรก การแต่งงานในทัศนะของอิสลามคือการผูกพันชีวิตชายหญิงคู่หนึ่งเข้าด้วยกัน เหมือนกับการผูกเส้นด้ายสองเส้นเข้าด้วยกัน
ความจริงที่ต้องยอมรับอีกเหตุผลหนึ่งคือ ตราบใดที่ผู้คนในสังคมได้ทำลายกรอบที่ควบคุมดุลยภาพของความสัมพันธ์ระหว่าง เพศทิ้งไป และได้ปล่อยให้สังคมเป็นไปตามอิสระตามแต่อารมณ์ฝ่ายต่ำของมนุษย์จะลากไปแล้ว โอกาสที่คนหนุ่มคนสาวจะตกเป็นเหยื่อจะมีมากกว่าที่จะรอดพ้นมาได้
ตราบใดที่ต้นเหตุของปัญหายังไม่ถูกแก้ไข สังคมของเราก็จะต้องเผชิญกับปัญหาที่ติดตามมาเหมือนลูกโซ่ ตราบใดที่เราไม่เข้าใจแบบแผนของการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงตามแนว ทางสายกลางแน่นอน เราก็ไม่อาจสกัดปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาได้
ปัญหาเหล่านี้กำลังลุกลามอย่างรวดเร็วในเมืองใหญ่ๆ และสักวันหนึ่งอาจจะเข้าถึงชนบทไทยอย่างง่ายได้ก็เป็นได้ เพราะความเจริญด้านวัตถุแบบสุดโต่ง จนลืมการพัฒนาด้านจิตใจ คุณค่าด้านจิตวิญญาณ และขาดความเข้าใจของคำว่า “มนุษย์” ซึ่งจะต้องพัฒนาทั้ง 2 ภาคส่วน คือทั้งทางกายและจิตใจควบคู่กันไปอย่างสมดุล หากพัฒนาด้านหนึ่งด้านใดมากกว่า ชีวิตมนุษย์ก็ไม่สมบูรณ์และเสียสมดุล
ปัญหาของวัยรุ่นเกี่ยวกับเรื่องเพศคงจะไม่ถึงขั้นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน นี้ หากทุกคนอยู่ในกรอบของศาสนา เพราะบทบัญญัติของศาสนาไม่ว่าพุทธหรืออิสลามก็ห้ามในเรื่อง “ผิดประเวณี” การผิดประเวณีเป็นการทำผิดในศีลห้า (ศาสนาพุทธ) และการ "ซีนา" (ผิดประเวณีในอิสลาม) ถือเป็นบาป ใหญ่ และผู้ล่วงละเมิดก็จะถูกลงโทษโดยการถูกโบยถึง 100 ครั้ง และถูกประณามต่อหน้าชุมชนอีกต่างหาก
ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ควรจะรณรงค์คือ คุณค่าของคุณธรรม จริยธรรม และการปฏิบัติตามหลักศาสนาที่ตนนับถือ โดยปลูกฝังเป็นรูปธรรมควบคู่กับวิชาการในสถานศึกษาในทุกระดับ ทั้งประถม มัธยม และมหาวิทยาลัย
สุภาษิตของผู้เฒ่าคนโบราณจะต้องช่วยรณรงค์ให้มากขึ้นในสังคม โดยเฉพาะเรื่องความรักนวลสงวนตัว ถึงแม้จะเป็นเรื่องยากในโลกปัจจุบันก็ตาม
ขอย้ำเตือนสำหรับสุภาพสตรี อย่าหลงคำหวานของผู้ชายหลอกลวงที่ว่า ถ้าน้องรักพี่จริงก็ต้องยอมนอนกับพี่ในค่ำคืนวันวาเลนไทน์...