สถานการณ์ทางการเมืองแต่ละครั้ง แต่ละเหตุการณ์ มีผู้คนที่มองปัญหาในขณะนั้นแตกต่างกันไป ทั้งนี้จะโดยเหตุผลใดก็ตาม แต่ละพวกแต่ละกลุ่มก็อาจมีเหตุผลสนับสนุนความคิดเห็นของตนอย่างหนักแน่นอยู่เสมอ บางทีพาลเอะอะไปกล่าวโทษความเห็นอีกฝ่ายหนึ่งว่า ล้าหลัง รับใช้นายทุน รับใช้ศักดินา รับใช้พวกอำมาตยาฯ รับใช้ทหาร เผด็จการ ไปก็มี
สังคมจึงเกิดการแตกแยก การแตกแยกครั้งนี้เป็นการแตกแยกที่แตกต่างจากความแตกแยกทั้งหลายในอดีตที่เกิดขึ้นมาในประเทศไทยของเรา
คราวนี้แตกคงแตกไปเลย ยากที่จะทวนย้อนกลับมา “สมาน” ให้เหมือนเดิมได้ เป็นการแตกแยกที่จะนำไปสู่ “ความถาวร” ถ้าตราบใดแต่ละฝ่ายยังยืนยันว่า ความคิดเห็นของตน “ถูกต้อง” แต่เพียงฝ่ายเดียว โดยหันหลังปฏิเสธแนวความคิดที่เห็นแตกต่างกัน
ทั้งๆ ที่ในอดีตพวกเขาเคยคิดเห็นเหมือนกัน กินเหมือนกัน ขี้เหมือนกัน จับอาวุธในป่าเขาลำเนาไพรเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยกัน
“ฤๅจะเป็นอดีตไปจริงๆ”
ความเป็น “สหาย” ที่เคยต่อสู้ร่วมรบกันในสภาวะที่ยากลำบากในอดีต จะไม่มีเหลือไว้สรรเสริญอีกแล้วหรือ
ความยากลำบากในอดีต เป็นแผลเป็นที่ทุกคนมีจารึกไว้ในห้วงแห่งความคิด การเสียสละด้วยใจที่สู้รบของบรรดา
“สหาย” ฤๅจะจางหายไป
อะไรกำลังเกิดขึ้นกับพวก “สหาย” เรา ในขณะนี้
การปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ได้แบ่งแยกพวกเราออกจากกันโดยสิ้นเชิง ฤๅจะเป็นแผนของฝ่ายที่ประสงค์จะทำให้พวกเราแตกแยกกัน พวกเขาพยายามทำมาแล้วในอดีตแต่ไม่สำเร็จ แต่กำลังจะทำสำเร็จ ก็ตอนที่พวกเขาทำการปฏิวัตินี่เอง
นอกจากเขาจะปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนได้สำเร็จ เขายังสามารถ “โค่น” นักคิดนักเขียน นักต่อสู้ที่ก้าวหน้าในอดีต แยกพวกเขาออกจากกันอย่างแยบยล
ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่าง “สุรชัย จันทิมาธร” แห่ง “วงคาราวาน” จะไปยืนอยู่กับฝ่ายทหารที่ก่อการปฏิวัติ โดยให้ “สอบผ่าน” ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่าง “ประสาร มฤคพิทักษ์” จะกล้าไปเป็นกระบอกเสียงให้แก่รัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร ซ้ำยังกล้าแว้งกัดพรรคพวกที่เคยร่วมต่อสู้กันมาในอดีตอย่างหน้าตาเฉย ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่าง “สุรพล นิติไกรพจน์” อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะกล้าประกาศตัวรับใช้เผด็จการ โดยยอมตนไปเป็น “สนช.” ของพวกเผด็จการ ไม่น่าเชื่อ...ฯลฯ...ว่าเขาจะกล้ายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับฝ่ายปฏิวัติรัฐประหารเผด็จการ
เมื่อพวกทหารปฏิวัติ “ฉีก” รัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญของประชาชนทิ้ง พวกเหล่านี้ไม่กล้าแม้จะคัดค้านชี้ผิดชี้ถูกให้แก่บ้านเมือง
ทำไมคนอย่าง “จิ้น กรรมาชน” ผู้ที่ต่อสู้กับเผด็จการอย่างเอาการเอางาน ตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 และเข้าป่าจับปืนสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แห่งวง “กรรมาชน” จึงออกมาต่อสู้คัดค้านกับการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 อย่างกล้าหาญ และไม่เกรงกลัวภัยเผด็จการทั้งมวลที่กระทำต่อเขา
ทำไมคนอย่าง “วิสา คัญทัพ” กวีเอก “เมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” อดีต 13 กบฏยุค 14 ตุลาคม 2516 จึงกล้าออกมาต่อสู้กับเผด็จการ
ทำไมคนอย่าง “หมอเหวง โตจิราการ” นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผู้ไม่ประสงค์ได้ตำแหน่งใดกับทุกอำนาจรัฐ จึงกล้านำการต่อสู้กับเผด็จการทหารและพวกอำมาตยาฯ
ทำไมคนอย่าง “จาตุรนต์ ฉายแสง” สหายแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย จึงออกมาต่อสู้กับเผด็จการทหารอย่างกล้าหาญองอาจ ทำไมคนอย่าง...ฯลฯ...จึงกล้าต่อสู้กับเผด็จการทหารและอำมาตยาฯ
และทำไม พวกเขาจึงคิดต่างกันอย่างสิ้นเชิง
มีแต่วีรชนที่เสียสละชีวิตไปแล้วเท่านั้น จะรู้ว่าใครคือ “คนจริง” ใครคือ “ของปลอม”
เวลาเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์!
ดร.อดิศร เพียงเกษ