เปิดโปงขบวนการฮั้วประมูล งานจัดอบรมและสัมมนา มูลค่าหลายล้านบาท ภายในหน่วยงานของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ซึ่งมี คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา นั่งเป็นหัวหน้าหน่วยงานนี้อยู่
มีการจ้างบริษัท ออดิตฯ ซึ่งเป็นบริษัทตรวจสอบบัญชีเล็กๆ เข้ามาเป็นคู่สัญญาในการจัดสัมมนาให้กับเจ้าหน้าที่ สตง. มาหลายปี ชนิดที่เรียกได้ว่าจะเป็นคู่สัญญาถาวร โดยเนื้อหาในการจัดอบรมสัมมนานั้นไม่ได้พิเศษพิสดารอะไรมากมายไปกว่าการเชิญบุคคลสำคัญทางการเมือง เศรษฐกิจ การเงิน มาให้ความรู้รายชั่วโมง และมีการเชิญวิทยากรมาพูดเรื่องการเมืองการปกครองประเทศด้วย
บริษัท ออดิต แอนด์ แมเนจเม้นท์ คอนซัลแตนท์ นี้ มีที่ตั้งสำนักงานอยู่ที่ตึกแถวแห่งหนึ่งในถนนซอยจรัญสนิทวงศ์ ซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับ นายทรงเกียรติ เมณฑกา สามีของคุณหญิงจารุวรรณ นั่นเอง!!!
ถามว่าจะมีการเอื้อประโยชน์กันหรือไม่ เพราะมีเลขที่อยู่เกี่ยวพันกัน อันนี้คงจะเป็นประเด็นคำถามค้างคาใจ เพราะตึกแถวแห่งนี้ไม่ใช่อาคารสำนักงานที่มีรูปแบบการให้ผู้ประกอบการธุรกิจมาเช่า ใครจะเช่ากันอย่างไรก็ได้ คงไม่ใช่
บ้านคน กว่าจะมาตัดสินใจให้คนอื่นหรือบริษัทอื่นมาเช่านั้น เป็นเรื่องน่าลำบากใจ หากไม่รู้จักกันแบบสนิทชิดเชื้อจริงๆ ใช่ไม่ใช่?
แถมเช่าแล้วยังไม่มีคนอยู่ทำงานในเวลาทำการอีกด้วย น่าแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่ ที่บริษัทบัญชีหรือตรวจสอบบัญชีตามปกติจะต้องมีคนอยู่ประจำ เพื่อติดต่อกับลูกค้า หรือรับงานจากลูกค้า แต่นี่ ตึกกลับปิดเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่อาศัย
ถามคนบริเวณใกล้เคียงได้รับคำตอบเดียวกันว่า “ไม่มีคนอยู่หรอก นานทีจึงจะมีคนเข้ามาอยู่สักครั้งหนึ่ง” !!!
บริษัทตึกแถวแบบนี้หรือ ที่เป็นคู่สัญญากับรัฐได้งบประมาณปีละหลายล้านบาท ติดต่อกัน 8 งวด มันพิลึกไหม?
การจัดอบรมสัมมนา โดยปกติหน่วยงานราชการสามารถจัดเองได้ โดยไม่ต้องเสียงบประมาณไปจ้างเอกชน ให้กินค่าเหนื่อยค่าหัวคิวกัน เพราะเจ้าหน้าที่ภาครัฐแค่โทรศัพท์ไปติดต่อสถานที่ ซึ่ง จริงๆ แล้ว สตง. มีห้องประชุมเยอะแยะ หากจะประหยัดงบประมาณสามารถใช้ห้องประชุมตัวเองในการสัมมนาได้ไม่ใช่หรือ ทำไมต้องไปเช่าห้องโรงแรมเสียค่าใช้จ่ายบานตะไท แล้วออกจดหมายเชิญวิทยากร ซึ่งทุกคนพร้อมให้ความร่วมมืออยู่แล้ว ในฐานะที่ สตง. เป็นหน่วยงานระดับชาติ ดังนั้นจึงไม่เกินขีดความสามารถของคนใน สตง. ที่จะจัดงานอบรมสัมมนา เรื่องกระจอกๆ แบบนี้ ไม่ใช่หรือ
เป็นตัวอย่างที่ดีกับส่วนราชการอื่นแล้วหรือ ในการนำงบประมาณชาติมาผลาญกันแบบนี้ ภาษีอากรที่มาจากประชาชนตาดำๆ ที่ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ ด้วยความเหน็ดเหนื่อย เอามาละลายกับค่าโรงแรมหรูๆ อาหารแพงๆ ชุดน้ำชา กาแฟ แพงๆ เป็นคำถามที่ส่งตรงให้หน่วยงานนี้ช่วยตอบหน่อย!!!
ประเด็นปัญหาวันนี้คือ มีการยื่นเรื่องร้องเรียนจากประชาชนผู้เสียภาษีตาดำๆ นี่แหละ ให้มีการสอบสวนทวนความหลังจากหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ ได้ตีพิมพ์เนื้อหาข่าว หลักฐาน และเอกสารต่างๆ อย่างละเอียด และ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ได้ข่มขู่โดยประกาศจะดำเนินการตามกฎหมาย แต่เวลาล่วงเลยมานานกว่า 3 เดือนแล้ว
ถือเป็นเรื่องน่าเสียใจไม่น้อย ที่หน่วยงานที่จะไปตรวจสอบหน่วยงานอื่นในเรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบ ฉ้อราษฎร์ บังหลวง ยักยอกทรัพย์ อะไรตามนี้จะมีจิตสำนึกในการรักษามาตรฐาน ความโปร่งใส ธรรมาภิบาล การเปิดเผยข้อมูลเพื่อให้สื่อสารมวลชนตรวจสอบในระดับที่ผ่านมานี้
เทพยดามีตา ฟ้าดินมีใจ วันนี้มีประชาชนผู้รักชาติและประชาธิปไตย ทนไม่ได้กับพฤติกรรมดังว่ามาทั้งหมด หาญกล้ายื่นเรื่องไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ และมีแนวโน้มว่า ข้อมูลเบื้องต้นที่ได้มานั้นจะมีมูล และจะมีการชงเรื่องให้ คณะกรรมการดีเอสไอได้ดำเนินการรับไว้ในอ้อมกอด
อยากจะถามหาสปิริตของ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ในฐานะคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. และในฐานะผู้ว่าการสำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ว่า ยังมีอยู่หรือไม่
เมื่อมีข้อคลางแคลงใจเกิดขึ้นแบบนี้ ทำไมท่านจึง ไม่พักงาน หรือลาออกจากตำแหน่ง เพื่อ เปิดทาง ให้มี การสืบสาวราวเรื่องอย่างจริงจังและจริงใจ เหมือนผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงคนอื่นๆ ที่มีมาตรฐานรับรองเอาไว้
เตือนด้วยความหวังดี ระวังจะโดนสังคมเขานินทากล่าวหาว่า “นั่งทับขี้” แล้วจะหาว่าไม่เตือน!!!