การเมืองดูเหมือนจะลื่นไหลไปตามสถานการณ์และเงื่อนไข วันเวลา ทำให้ทุกอย่างต้องเดินไปตามครรลอง ล่าสุดนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนฯได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งในขณะที่กำลัง “พักงาน” ตัวเอง นั่นเพราะนายยงยุทธมีคดี “ใบแดง” จากการเลือกตั้งที่ผ่านมา โดย ก.ก.ต.ได้มีมติไปแล้ว ขณะนี้คดียังอยู่ที่ศาลที่จะชี้ขาดอีกครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าเหตุที่ผลที่นายยงยุทธชี้แจงในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ หากจะต้องไปขึ้นโรงขึ้นศาลดูจะไม่เหมาะอย่างยิ่ง การลาออกจึงน่าจะเหมาะสมและเป็นเหตุเป็นผล จากนี้ไปก็สภาผู้แทนฯก็คงจะต้องดำเนินการ ตามขั้นตอนต่างๆเพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนฯคนใหม่ ซึ่งขณะนี้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์รองประธานฯรักษาการอยู่ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแต่ อย่างไรก็ดี สภาจะปิดสมัยประชุมในวันที่ 19 พ.ค. 51 อยู่ที่ว่าจะหาประธานสภาฯคนใหม่ได้ทันหรือไม่ ประธานสภาผู้แทนฯคนใหม่ก็ต้องเป็นคนของพลังประชาชนอยู่ที่ว่าจะให้ใครเป็นเท่านั้น แต่เชื่อเถอะว่าคงต้องแย่งกันน่าดูแหละ ต้องแสดงกำลังภายในกันอีกรอบแน่ อย่างไรก็ดี ในสถานการณ์การเมืองที่ค่อนข้างเครียด บทบาทการทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนฯจึงต้องเจองานหนักแน่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญนี่แหละจะเป็นตัวแปรสำคัญ ซึ่งนั่นต้องหมายความว่าคนนั่งตำแหน่ง นี้จะต้องไม่ธรรมดา ประเภทมือใหม่หัดขับคงจะลำบาก ล่าสุดมีข่าวว่านายกฯจะกินข้าวกับหัวหน้าพรรคร่วม รัฐบาลถือว่าเป็นครั้งแรกหลังจากตั้งรัฐบาลบริหารประเทศมาจนถึงขณะนี้ ซึ่งจริงๆน่าจะเป็นเรื่องที่ดีเพราะอย่าง น้อยก็ได้พูดจาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อสถานการณ์บ้านเมือง ที่สำคัญคือการบริหารประเทศต่อไปอย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาติและประชาชน ในท่ามกลางปัญหาสารพัด ไม่ใช่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะอยู่ระดับปกติแต่กลับ เจอปัญหานานาประเภทที่จะต้องเร่งแก้ไข โดยเฉพาะสินค้าภาคเกษตรกรรมที่จะทำให้ไทยลุกยืนขึ้นมาได้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เช่นกันแน่นอนว่าพลังประชาชน, ชาติไทยและมัชฌิมาธิปไตยต่างเจอปัญหาเฉพาะในเรื่องยุบพรรค นั่นเป็นประเด็นหนึ่งที่ต้องการแก้ไขหรืออีกหลาย ประเด็นที่นักการเมือง นักวิชาการ องค์กรประชาธิปไตยหรือองค์กรอื่นๆก็ตาม ต่างๆเหล่านี้มันมีทางออกอยู่ ไม่ใช่ตีบตัน เพียงแต่อย่าพยายามทำให้มันตีบตันจนไม่มีทางออกเอง อย่างน้อยเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลน่าจะมีทางที่จะทำให้ทุกอย่างเดินไปในทางที่ดีได้ อย่างไรก็ดี การลาออกของนายยงยุทธและการเชื่อมต่อกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในทางด้านสภาแล้วประธานวุฒิสภาในฐานะ รองประธานรัฐสภาสามารถทำหน้าที่ประธานแทนได้ หากจะมีการยื่นญัตติพื่อแก้ไขในสัปดาห์หน้า แต่เชื่อว่าคงจะยังไม่ได้ยื่นง่ายๆ ดีไม่ดีต้องรอประธานสภาผู้แทนฯคนใหม่ด้วยซ้ำไป เพราะแม้ว่าทุกพรรคจะเห็นด้วยกับการแก้ไข แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเห็นตรงกันทุกเรื่อง ทุกประเด็นหรือแม้แต่วิธีการที่จะดำเนินการแก้ไข เพราะยังเชื่อว่าจะต้องฟังเสียงพรรคร่วมรัฐบาลและเสียงภายนอกด้วย ยิ่งสถานการณ์ของรัฐบาลในขณะนี้หาใช่ว่าจะดีหรือมั่นคง เสถียรภาพเข้มแข็ง หากไม่ปรับรูปขบวนการทำงานกันใหม่ทั้งแง่ การบริหาร การแก้ปัญหาต่างๆโดยเฉพาะเศรษฐกิจปากท้อง ถ้าเปิดชนวนการเมืองกันอย่างทุกวันนี้ไม่เป็นผลดีแน่ และหากว่าคดีนายยงยุทธจบลงด้วย “ใบแดง” ก้าวต่อไปก็จะพันกับเรื่อง “ยุบพรรค” ระส่ำระสายเอาได้ง่ายๆเหมือนกัน. "สายล่อฟ้า"