ช่วงปลายฝนต้นหนาว เป็นช่วงที่ควรระวังครับ ถือเป็นช่วง “อันตราย” วันใด “ฟ้าใส” วันไหน “ฟ้าหม่น” มีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของคนเราแตกต่างกันเป็นอย่างมากครับ เพราะวันที่ “ฟ้าใส” อะไรๆ ดูสดชื่นแจ่มใส มีชีวิตชีวา ถือเป็นเรื่อง “ดูดี-มีความสุข” ครับ แต่ถ้าเกิดเหตุให้ “ฟ้าหม่น-ฟ้ามัว” ความสลัวก็เข้ามาเยือน ความรู้สึกจะเปลี่ยนไปเป็นหดหู่ วังเอง ว้าเหว่...ออกไปทางนั้นครับ
สถานการณ์ของบ้านเมืองวันนี้ ถ้าจะใช้คำว่า “กลืนไม่เข้า-คายไม่ออก” ก็เห็นจะได้ครับ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยนั้นทางกายภาพถือว่าโชคดีที่สุดที่ธรรมชาติสรรสร้างแหล่งท่องเที่ยวเอาไว้มากมาย นี่ยังไม่รวมถึงวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศชาติ ไม่อาจหาดูได้จากที่ไหน มีพิธีกรรมความเชื่อซึ่งได้ถือปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องเสมอมาในเฉพาะถิ่นเฉพาะท้องที่
มี “อะไร” ที่บ้านเมืองอื่นไม่มี แต่ถึงจะมีก็ไม่เหมือนครับเมื่อบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ใครหน้าไหนจะมีอารมณ์อยากมาเที่ยว มาลงทุน
ในเมื่อ “สื่อสามานย์” อย่าง “เอเอสทีวี” ของกลุ่มพันธมาร ออกอากาศไปทั่วโลกทั้งวันทั้งคืน พยายามประโคมข่าวตอกย้ำความแตกแยก ความรุนแรงที่เกิดขึ้น เพื่อประจานรัฐบาลว่าไม่มีน้ำยา ขาดความชอบธรรมที่จะบริหารงานของประเทศชาติต่อไป ซึ่งเขาจะได้นำ “การเมืองใหม่” มาใช้เสียที ซึ่งนั่นจะเป็น “ฝันร้าย” ของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
หากว่า...ฝันนั้นเป็นจริงขึ้นมา
ผมสงสารบ้านเมืองจริงๆ ครับ ถ้าบ้านเมืองพูดได้ คงพูดว่า จะบ้ากันไปถึงไหน รู้ไหม...บ้านเมืองบอบช้ำเข้าขั้นวิกฤติแล้วเพราะมีหลายเรื่องหลายราวที่ประดังกันเข้ามาในยามที่บ้านเมืองบอบช้ำหนักหนาสาหัสไม่เว้นแม้แต่ทหารใหญ่ก็ออกมาพูดเสียงแปร่งๆ เรื่องที่จะให้รัฐบาลรับผิดชอบกรณีเกิดเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม ซึ่งทหารเองก็ถูกขอร้องให้ออกมาเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง หลังจากตำรวจถูกพันธมิตรฯ ทำร้ายอย่างป่าเถื่อนเหี้ยมโหด จนบาดเจ็บสาหัสไปตามๆ กัน ทั้งๆ ที่ฝ่ายทหารก็รู้อยู่เต็มอกว่า ทางรัฐบาลได้แสดงความรับผิด มีการตั้ง “กรรมการอิสระ” ขึ้นมาตรวจสอบเพื่อหาความจริงแล้ว และย้ำให้ว่าไปกันตามเนื้อผ้า แต่ฝ่ายพันธมิตรฯ กลับออกมาค่อนขอด จะไม่ยอมรับ “ผล” ที่ออกมา เพราะรู้ดีว่าตัวเองเป็น “ต้นเหตุ” ความอัปยศในครั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ช่วงที่แกนนำพันธมารเคยต้องข้อหา “กบฏ” เป็นกลุ่มคนที่ใช้กำลังเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ออกอาการเหิมเกริมยิ่งขึ้น
ประหนึ่งได้ “น้ำทิพย์” ชโลมใจก็ไม่ปาน
สำแดงอำนาจบาตรใหญ่ เร่งเดินเกมเดินหน้าจัดการกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย หรือฝ่ายที่ยึดมั่นปกป้องประชาธิปไตยอย่างเอาเป็นเอาตาย ประกาศคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ คมช.ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ การประกาศของ “แป๊ะลิ้ม” ว่าอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทุ่มเงินล้มสถาบัน ทำไมถึงกล้าบังอาจเหิมเกริมอย่างนี้ได้ เห็นทีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้อง “จัดการ” โดยเร็ว อย่าให้เหลิงลามปามไปมากกว่านี้ เพราะก่อนหน้านี้ “แป๊ะลิ้ม” เคยถูกศาลสั่งไม่ให้พูดถึงอดีตนายกรัฐมนตรีอย่างเสียหายมาแล้ว
ตำรวจสู้ๆๆ นะครับ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครหนุนหลังอยู่ หรือจะยิ่งใหญ่คับฟ้าแค่ไหนก็ตาม พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ที่เคยประกาศว่าจะเข้ายึดทำเนียบคืนจากกลุ่มพันธมาร แต่ดันมาติดอยู่ที่ความเกรงใจ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ...มีนัยอะไรที่จะบอกกล่าวอะไรไปถึงใครหรือไม่อย่างไรหรือเปล่าในขณะที่รัฐบาลประกาศยืนยันไม่ยุบ ไม่ลาออก ไม่กลัวคำขู่ของทหาร เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตย และเป็นตัวแทนของประชาชน รัฐบาลจะทำงานเพื่อประชาชนโดยไม่เลือกปฏิบัติ โดยที่รัฐบาลไม่มีทางทำงานเพื่ออำนาจ เพราะทุกคน รวมทั้งรัฐบาล ต้องเคารพกฎหมาย และต้องไม่สนับสนุนคนที่ทำผิดกฎหมาย
การเดินทางไปที่ จ.อุบลราชธานี งานนี้ผมว่านายกรัฐมนตรีได้ “กำลังใจ” กลับมาอีกมากโข เพราะมีรายงานว่า มีประชาชนสวมเสื้อสีแดงจำนวนมากได้ถือดอกกุหลาบมามอบเพื่อให้กำลังใจมืดฟ้ามัวดิน
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของการบ้านการเมืองครับ แน่นอนว่าจะต้องจบลงได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด...ปลงเสียเถะแม่จำเนียรเอ๋ย แต่หากจะปล่อยให้สถานการณ์บ้านเมืองคาราคาซัง เหมือนคนไข้รอวันตายนั้น มันทรมานและเจ็บปวดยิ่งนักผมมั่นใจว่าคนไทยจำนวนมากภูมิใจกับเมืองไทย ดีใจที่เกิดเป็นคนไทย
แม้แต่ชาวต่างชาติที่มาเมืองไทยในวันที่ “ฟ้าใส” ได้เก็บเกี่ยวความรู้สึกที่ดีๆ กลับไปบอกเพื่อนพ้องน้องพี่ และคงจะได้ชักชวนกันมาเมืองไทยอีกว่า คนไทยเขามีอัธยาศัยดี มีไมตรีดีกว่าประเทศไหนๆ นะ ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน น่าศึกษาชื่นชม และคนรุ่นหลังได้รักษาความภูมิใจนี้เอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
ประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายให้เลือกตามรสนิยม และความต้องการทุกรูปแบบแต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ในช่วงที่ “ฟ้าหม่น” สิ่งดีๆ ความรู้สึกดีๆ ที่ได้เห็นได้สัมผัส มีอันต้องถูกลดทอนลง สิ่งที่เห็นว่าสดสวยดีงามดูสง่า กลับดูพร่ามัว ด้อยค่าลงไปในทันที...เพราะวันที่ “ฟ้าหม่น” จิตใจคนก็ย่อมห่อเหี่ยว วังเวง ไม่แจ่มใส ไม่เบิกบานอย่างวันที่ “ฟ้าใส” เป็นแน่แท้
“ฟ้าใส” กับ “ฟ้าหม่น” มันต่างกันจริงๆ...ไย “ฟ้า” จึงต้องทำให้หมองให้หม่นด้วย รู้ไหมว่าเป็น “ฝันร้าย” ของผู้คนเชียวนะ