WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, October 21, 2008

เมื่อ “ฟ้าหม่น” ประชาชนก็ฝันร้าย

ช่วงปลายฝนต้นหนาว เป็นช่วงที่ควรระวังครับ ถือเป็นช่วง “อันตราย” วันใด “ฟ้าใส” วันไหน “ฟ้าหม่น” มีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของคนเราแตกต่างกันเป็นอย่างมากครับ เพราะวันที่ “ฟ้าใส” อะไรๆ ดูสดชื่นแจ่มใส มีชีวิตชีวา ถือเป็นเรื่อง “ดูดี-มีความสุข” ครับ แต่ถ้าเกิดเหตุให้ “ฟ้าหม่น-ฟ้ามัว” ความสลัวก็เข้ามาเยือน ความรู้สึกจะเปลี่ยนไปเป็นหดหู่ วังเอง ว้าเหว่...ออกไปทางนั้นครับ
สถานการณ์ของบ้านเมืองวันนี้ ถ้าจะใช้คำว่า “กลืนไม่เข้า-คายไม่ออก” ก็เห็นจะได้ครับ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยนั้นทางกายภาพถือว่าโชคดีที่สุดที่ธรรมชาติสรรสร้างแหล่งท่องเที่ยวเอาไว้มากมาย นี่ยังไม่รวมถึงวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศชาติ ไม่อาจหาดูได้จากที่ไหน มีพิธีกรรมความเชื่อซึ่งได้ถือปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องเสมอมาในเฉพาะถิ่นเฉพาะท้องที่
มี “อะไร” ที่บ้านเมืองอื่นไม่มี แต่ถึงจะมีก็ไม่เหมือนครับเมื่อบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ใครหน้าไหนจะมีอารมณ์อยากมาเที่ยว มาลงทุน
ในเมื่อ “สื่อสามานย์” อย่าง “เอเอสทีวี” ของกลุ่มพันธมาร ออกอากาศไปทั่วโลกทั้งวันทั้งคืน พยายามประโคมข่าวตอกย้ำความแตกแยก ความรุนแรงที่เกิดขึ้น เพื่อประจานรัฐบาลว่าไม่มีน้ำยา ขาดความชอบธรรมที่จะบริหารงานของประเทศชาติต่อไป ซึ่งเขาจะได้นำ “การเมืองใหม่” มาใช้เสียที ซึ่งนั่นจะเป็น “ฝันร้าย” ของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
หากว่า...ฝันนั้นเป็นจริงขึ้นมา
ผมสงสารบ้านเมืองจริงๆ ครับ ถ้าบ้านเมืองพูดได้ คงพูดว่า จะบ้ากันไปถึงไหน รู้ไหม...บ้านเมืองบอบช้ำเข้าขั้นวิกฤติแล้วเพราะมีหลายเรื่องหลายราวที่ประดังกันเข้ามาในยามที่บ้านเมืองบอบช้ำหนักหนาสาหัสไม่เว้นแม้แต่ทหารใหญ่ก็ออกมาพูดเสียงแปร่งๆ เรื่องที่จะให้รัฐบาลรับผิดชอบกรณีเกิดเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม ซึ่งทหารเองก็ถูกขอร้องให้ออกมาเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง หลังจากตำรวจถูกพันธมิตรฯ ทำร้ายอย่างป่าเถื่อนเหี้ยมโหด จนบาดเจ็บสาหัสไปตามๆ กัน ทั้งๆ ที่ฝ่ายทหารก็รู้อยู่เต็มอกว่า ทางรัฐบาลได้แสดงความรับผิด มีการตั้ง “กรรมการอิสระ” ขึ้นมาตรวจสอบเพื่อหาความจริงแล้ว และย้ำให้ว่าไปกันตามเนื้อผ้า แต่ฝ่ายพันธมิตรฯ กลับออกมาค่อนขอด จะไม่ยอมรับ “ผล” ที่ออกมา เพราะรู้ดีว่าตัวเองเป็น “ต้นเหตุ” ความอัปยศในครั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ช่วงที่แกนนำพันธมารเคยต้องข้อหา “กบฏ” เป็นกลุ่มคนที่ใช้กำลังเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ออกอาการเหิมเกริมยิ่งขึ้น
ประหนึ่งได้ “น้ำทิพย์” ชโลมใจก็ไม่ปาน
สำแดงอำนาจบาตรใหญ่ เร่งเดินเกมเดินหน้าจัดการกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย หรือฝ่ายที่ยึดมั่นปกป้องประชาธิปไตยอย่างเอาเป็นเอาตาย ประกาศคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ คมช.ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ การประกาศของ “แป๊ะลิ้ม” ว่าอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทุ่มเงินล้มสถาบัน ทำไมถึงกล้าบังอาจเหิมเกริมอย่างนี้ได้ เห็นทีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้อง “จัดการ” โดยเร็ว อย่าให้เหลิงลามปามไปมากกว่านี้ เพราะก่อนหน้านี้ “แป๊ะลิ้ม” เคยถูกศาลสั่งไม่ให้พูดถึงอดีตนายกรัฐมนตรีอย่างเสียหายมาแล้ว
ตำรวจสู้ๆๆ นะครับ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครหนุนหลังอยู่ หรือจะยิ่งใหญ่คับฟ้าแค่ไหนก็ตาม พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ที่เคยประกาศว่าจะเข้ายึดทำเนียบคืนจากกลุ่มพันธมาร แต่ดันมาติดอยู่ที่ความเกรงใจ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ...มีนัยอะไรที่จะบอกกล่าวอะไรไปถึงใครหรือไม่อย่างไรหรือเปล่าในขณะที่รัฐบาลประกาศยืนยันไม่ยุบ ไม่ลาออก ไม่กลัวคำขู่ของทหาร เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตย และเป็นตัวแทนของประชาชน รัฐบาลจะทำงานเพื่อประชาชนโดยไม่เลือกปฏิบัติ โดยที่รัฐบาลไม่มีทางทำงานเพื่ออำนาจ เพราะทุกคน รวมทั้งรัฐบาล ต้องเคารพกฎหมาย และต้องไม่สนับสนุนคนที่ทำผิดกฎหมาย
การเดินทางไปที่ จ.อุบลราชธานี งานนี้ผมว่านายกรัฐมนตรีได้ “กำลังใจ” กลับมาอีกมากโข เพราะมีรายงานว่า มีประชาชนสวมเสื้อสีแดงจำนวนมากได้ถือดอกกุหลาบมามอบเพื่อให้กำลังใจมืดฟ้ามัวดิน
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของการบ้านการเมืองครับ แน่นอนว่าจะต้องจบลงได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด...ปลงเสียเถะแม่จำเนียรเอ๋ย แต่หากจะปล่อยให้สถานการณ์บ้านเมืองคาราคาซัง เหมือนคนไข้รอวันตายนั้น มันทรมานและเจ็บปวดยิ่งนักผมมั่นใจว่าคนไทยจำนวนมากภูมิใจกับเมืองไทย ดีใจที่เกิดเป็นคนไทย
แม้แต่ชาวต่างชาติที่มาเมืองไทยในวันที่ “ฟ้าใส” ได้เก็บเกี่ยวความรู้สึกที่ดีๆ กลับไปบอกเพื่อนพ้องน้องพี่ และคงจะได้ชักชวนกันมาเมืองไทยอีกว่า คนไทยเขามีอัธยาศัยดี มีไมตรีดีกว่าประเทศไหนๆ นะ ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน น่าศึกษาชื่นชม และคนรุ่นหลังได้รักษาความภูมิใจนี้เอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
ประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายให้เลือกตามรสนิยม และความต้องการทุกรูปแบบแต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ในช่วงที่ “ฟ้าหม่น” สิ่งดีๆ ความรู้สึกดีๆ ที่ได้เห็นได้สัมผัส มีอันต้องถูกลดทอนลง สิ่งที่เห็นว่าสดสวยดีงามดูสง่า กลับดูพร่ามัว ด้อยค่าลงไปในทันที...เพราะวันที่ “ฟ้าหม่น” จิตใจคนก็ย่อมห่อเหี่ยว วังเวง ไม่แจ่มใส ไม่เบิกบานอย่างวันที่ “ฟ้าใส” เป็นแน่แท้
“ฟ้าใส” กับ “ฟ้าหม่น” มันต่างกันจริงๆ...ไย “ฟ้า” จึงต้องทำให้หมองให้หม่นด้วย รู้ไหมว่าเป็น “ฝันร้าย” ของผู้คนเชียวนะ