WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, October 21, 2008

หนังสือ (อดีตต้องห้าม) ที่น่าอ่าน

ช่วงนี้มีสัปดาห์หนังสือ จัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผมได้ไปมา และพบหนังสือที่คนไทยควรอ่านหลายเล่ม ที่น่าสนใจก็คือ มีการพิมพ์หนังสือที่ในอดีตเป็นหนังสือต้องห้าม แต่ปัจจุบันหนังสือที่ว่านี้ซึ่งอดีตถือเป็น “ของแสลงของผู้ปกครอง” นั้นกลับกลายเป็นหนังสือที่ทาง สกว. ได้ทำวิจัยและบรรจุให้เป็นหนังสือหนึ่งในร้อยที่คนไทยควรอ่าน หนังสือที่ผมเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์อย่างมากในการทำความเข้าใจสภาพสังคมไทยในอดีต รวมถึงสภาวการณ์การเมืองไทยในปัจจุบันด้วย หนังสือที่น่าอ่านเล่มแรก พระเจ้ากรุงสยาม โดย ส. ธรรมยศ หนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2495 ครั้งที่สองเมื่อ พ.ศ.25471 และครั้งล่าสุด พ.ศ.2551 บทที่สำคัญที่สุด (ส. ธรรมยศ เป็นผู้บอกเอง อาจจะเป็นบทที่ล่อแหลมและเป็นที่กล่าวถึงมากที่สุด) ในหนังสือเล่มนี้คือบทที่ 7 หากใครต้องการทราบว่าบทที่ 7 มีเนื้อหาว่าอย่างไร คงต้องไปหาอ่านกันเอง อ่านแล้วจะรู้ว่าทำไมหนังสือเล่มนี้จึงเคยเป็นหนังสือต้องห้าม

หนังสือเล่มต่อมาคือ นิราศหนองคาย ของหลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์) หนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งเเรกเมื่อ พ.ศ.2421 แต่ก็ถูกเผาเสียหลังจากพิมพ์ออกมาได้ไม่นาน และมีการพิมพ์อีกครั้งในปี พ.ศ.2498 โดยผู้แต่งก็ถูกลงโทษด้วยการโบย 50 ที และจำคุกอีก 8 เดือน หนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งที่สามเมื่อปี พ.ศ.2544 หนังสือนิราศหนองคายของหลวงพัฒนพงศ์ภักดี จัดเป็นหนังสือ 1 ใน 100 ที่คนไทยควรอ่าน

หนังสือเล่มต่อมาคือ โฉมหน้าศักดินาไทย ของ จิตร ภูมิศักดิ์ หนังสือเล่มนี้คงไม่ต้องกล่าวถึงให้มากความ เพราะเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ปัญญาชนไทยมากที่สุดเล่มหนึ่ง มีการพิมพ์ซ้ำกันหลายครั้ง ระยะหลังมีการเผยแพร่เนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนี้ให้เป็นที่เผยแพร่ในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะในระดับประชาชนคนทั่วไป และคงไม่มีช่วงเวลาใดที่เหมาะสมไปกว่าช่วงเวลานี้อีกแล้วที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้

หนังสือต่อไปคือ เทียนวรรณ แต่งโดย คุณสงบ สุริยินทร์ แม้หนังสือเล่มนี้จะมิได้เป็นหนังสือต้องห้ามก็ตาม2 แต่ก็เป็นหนังสือที่น่าอ่านมาก เทียนวรรณนั้นเป็นนามปากกาของ ต.ว.ส. วรรณาโภ เป็นผู้ได้รับฉายาว่า “บุรุษรัตนของสามัญชน” ผู้เกิดในสมัยรัชกาลที่ 3 และมีชีวิตเรื่อยมาจนถึงสมัยของรัชกาลที่ 6 ในหนังสือเล่มนี้ได้บรรยายถึงชีวประวัติและผลงานที่คัดสรรของเทียนวรรณ ซึ่งปัจจุบันหาอ่านได้ยากยิ่ง เทียนวรรณนั้นเป็นทั้งนักหนังสือพิมพ์ นักกฎหมาย เทียนวรรณกล้าวิจารณ์สภาพสังคมในเวลานั้นอย่างตรงไปตรงมา เทียนวรรณเคยวิจารณ์ระบบทาส เจ้านาย ศาล ประเพณีที่คร่ำครึ ฯลฯ เทียนวรรณวิจารณ์หมด ทั้งๆ ที่ในยุคนั้นเป็นการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จึงไม่แปลกใจที่เทียนวรรณถูกจำคุกร่วม 18 ปี ที่น่าสนใจก็คือ ตอนเทียนวรรณออกจากคุกมีคนพูดเชิงสมน้ำหน้าเทียนวรรณว่า “แกมันชิงสุกก่อนห่าม”
ปัญญาชนสยามทั้ง 3 ท่าน คือ เทียนวรรณ ส.ธรรมยศ เเละ จิตร ภูมิศักดิ์ ล้วนแล้วแต่ใช้สติปัญญาผ่านคมปากกาวิพากษ์วิจารณ์ผู้ปกครองและสภาพสังคมไทยในขณะนั้น โดยบุคลิกที่คล้ายกันของทั้ง 3 ท่านคือ การใช้ภาษาที่ดุดัน ตรงไปตรงมาแกมประชดเสียดสี ซึ่งย่อมสร้างความขุ่นเคืองให้กับกลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

ข้อสังเกตของวาทกรรมการชิงสุกก่อนห่าม
หลังจากที่เทียนวรรณออกมาจากเรือนจำ ก็มีคนตำหนิหรือด่าเทียนวรรณว่า ชิงสุกก่อนห่าม วาทกรรมชิงสุกก่อนห่ามเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อคณะราษฎรได้ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute monarchy) มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional monarchy) นั้นก็ถูกวิจารณ์ในภายหลังว่าเป็นการชิงสุกก่อนห่าม เนื่องจากรัชกาลที่ 7 กำลังพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนอยู่แล้ว ผมเองไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ ไม่ทราบว่าหลังจากที่มีการก่อกบฏ ร.ศ.103 ในสมัยรัชกาลที่ 6 นั้นมีการอธิบายความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองในครั้งนั้นด้วยการกล่าวว่าเป็นการชิงสุกก่อนห่ามหรือไม่
จะเห็นว่าประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ผ่านในอดีตจนถึงปัจจุบัน หากมีปัญหาเกี่ยวกับการเมืองไทยในด้านต่างๆ เช่น การเลือกตั้ง การได้มาซึ่งรัฐมนตรี ปัญหาการทุจริตของนักการเมือง ฯลฯ ชุดคำอธิบายหนึ่งก็คือความพยายามที่จะอธิบายหรือโน้มน้าวให้กับประชาชนว่า “ประเทศไทยไม่เหมาะสมกับระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก” “ประเทศไทยมีเอกลักษณ์ ประเพณี ประวัติศาสตร์ที่ไม่เหมือนชาติใด ซึ่งมีนัยว่าเพราะฉะนั้นไทยควรมีระบอบการปกครองแบบไทยๆ” หรือ “คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่มีการศึกษา ดังนั้นจึงไม่มีวิจารณญาณพอที่จะเลือกผู้แทน ซึ่งมีนัยว่าสมควรให้กลุ่มบุคคลหนึ่งมาทำหน้าที่นี้แทน”3 ฯลฯ
ชุดคำอธิบายทำนองนี้กำลังถูกนำเสนอตอกย้ำมากขึ้นทุกทีๆ หากจะสรุปสั้นๆ ก็คือว่า สังคมไทยอย่าเพิ่งชิงสุกก่อนห่ามที่จะเป็นประชาธิปไตยแบบนานาอารยประเทศ เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่พร้อม ตอนนี้เอา “การเมืองใหม่” ไปก่อน หากทวยราษฎร์มีการศึกษา ความเป็นอยู่ดีขึ้นมากกว่านี้ ก็ค่อยมาพูดเรื่อง ปาลิเมนต์ และก่อนที่จะนำไปสู่การเมืองใหม่ น่าจะจัดให้มีการทดลองหรือจำลองให้คนไทยรู้จักประชาธิปไตยโดยการสร้างเมืองคล้ายกับ “ดุสิตธานี” อย่างที่รัชกาลที่ 6 ทรงจัดให้มีการทดลองเกี่ยวกับการปกครองในระดับท้องถิ่น ในครั้งนี้น่าจะจัดให้มีเมือง “มัฆวานฯ” เพื่อให้ทวยราษฎร์ไทยมีความเข้าใจ “การเมืองใหม่” อย่างถ่องแท้เสียก่อน มิฉะนั้นการปฏิรูปการเมืองไทยคงล้มเหลวอีกเช่นเคย

บทส่งท้าย
ใครก็ตามที่เบื่อเรื่อง “การชุมนุมแบบนันสต๊อป” และ “การเมืองใหม่” จะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยการอ่านหนังสือที่แนะนำเป็นการลับสมอง เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในอนาคตก็จะดีไม่น้อย ยิ่งหากอ่านควบคู่ไปกับ “แถลงการณ์ของคณะราษฎร” ก็จะได้อรรถรสดีนักแล แล้วจะรู้ว่าหากเปรียบเทียบกับแนวคิดของเทียนวรรณก็ดี ข้อวิจารณ์ของ จิตร ภูมิศักดิ์ ก็ดี แนวคิดเรื่องการเมืองใหม่นั้นกลายเป็นของคร่ำครึไปเลย หากเทียนวรรณยังมีชีวิตอยู่ในเวลานี้ ท่านคงนึกประหลาดใจอย่างยิ่งว่า เวลาผ่านไปร่วมร้อยปี แต่ความคิดหรืออุดมการณ์การเมืองไทยกำลังจะย้อนกลับไปสู่ยุคที่ท่านเทียนวรรณยังมีชีวิตอยู่ ผมไม่แน่ใจว่ากลุ่มพันธมิตรฯ “เกิดช้าไป” (คือน่าจะเกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือรัชกาลที่ 6) หรือพวกสนับสนุนประชาธิปไตย “เกิดเร็วไป” กันแน่ ถ้าคราวนี้เกิดรัฐประหารหรือมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลคุณสมชาย และจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติสำเร็จ โดยฝ่ายประชาธิปไตยพ่ายแพ้ และมีการยัดเยียดเรื่องการเมืองใหม่ไว้ในรัฐธรรมนูญสำเร็จ เห็นทีผมคงต้องพูดกับบรรดาผู้รักประชาธิปไตยและต่อต้านเผด็จการว่า “พวกเเกมันชิงสุกก่อนห่าม”

1 ในการพิมพ์ครั้งที่สองโดยสำนักพิมพ์มติชนนี้ ปรากฏว่ามีการเก็บหนังสือมิให้มีการจำหน่ายอีกต่อไป ดังนั้นหากใครก็ตามอยากอ่านหนังสือเล่มนี้คงต้องรีบซื้อเก็บไว้
2 ผมไม่เเน่ใจว่าผลงานของเทียนวรรณเองเป็นหนังสือต้องห้ามในยุคหลังๆ หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็น “ศิริพจนภาค” มีทั้งหมด 12 เล่ม เป็นการรวมผลงานของเทียนวรรณที่เขียนขึ้นก่อนถูกจำคุก และระหว่างถูกจำคุก และ “ตุลยวิภาค”
3 การสรรหาหรือแต่งตั้ง ส.ว. ชุดปัจจุบัน เป็นการสะท้อนแนวคิดนี้อย่างชัดเจนที่สุด