* จี้ปูนบำเหน็จทีมปราบม็อบ-ชี้ชัดพธม.จงใจฆ่า
นปช.บุกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดึงตำรวจเป็นหลักในการต้านปฏิวัติ ย้ำต้องจัดการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมายกับผู้ที่ออกมาทำรัฐประหารและรักษาระบอบประชาธิปไตยเอาไว้อย่างเข้มแข็ง โดยยืนยันประชาชนพร้อมจะยืนเคียงข้าง จี้ สตช.ปูนบำเหน็จให้ตำรวจที่เสียสละออกมาจัดการกับกลุ่มคนป่วนบ้านเมืองทั้งเพิ่มเบี้ยเลี้ยง ปรับยศให้เหมาะสม ขณะเดียวกันบุกร้องกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับ 9 ป.ป.ช. เถื่อน ที่หน้าด้านแอบอ้างทำงานทั้งที่ตัวเองไม่มีอำนาจ ทั้งยังซัดขบวนการพระเก๊ “สันติอโศก” กำลังจับมือพวกทหารเลว จ้องสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง
* ซัดพระเถื่อน “สันติอโศก” จ้องก่อความรุนแรง
หลังจากพันธมิตรฯ เปิดยุทธการดาวกระจายเคลื่อนไหวไปแจกวีซีดีและหนังสือหมิ่นเกียรติ หมิ่นศักดิ์ศรี ใส่ร้ายตำรวจว่าเป็นผู้ร้าย บริเวณใจกลางเมือง เช่น สีลม เซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อบิดเบือน ยุยง สร้างความแตกแยก เผาบ้านเผาเมืองจนทำให้ประชาชนบางส่วนเข้าใจตำรวจผิดนั้น
นปช.จี้ตำรวจจับพันธมิตรฯ
เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม เวลา 10.30 น. กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นับ 100 คน นำโดย นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นายชินวัฒน์ หาบุญพาด เดินทางมาชุมนุมบริเวณหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 4 ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ผ่าน พ.ต.อ.สุทธินาท สุดยอด รองเลขานุการตำรวจแห่งชาติ เรียกร้องให้เร่งรัด ดำเนินคดีกับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและผู้ที่เกี่ยวข้อง
หนังสือดังกล่าวระบุว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลปกครองได้วินิจฉัยเมื่อวันที่ 9 ตุลาคมว่า การชุมนุมของพันธมิตรฯ แสดงเจตนาไปรัฐสภาเพื่อไม่ให้มีการประชุมรัฐสภาในวันที่ 7 ตุลาคม โดยปิดล้อมประตูทางเข้าทุกด้านเพื่อไม่ให้ ส.ส.และ ส.ว. เข้าออกได้ โดยใช้รั้วลวดหนาม ยางรถยนต์ราดน้ำมันขวางกั้นถนนไว้ การกระทำดังกล่าวจึงมีลักษณะทำให้ผู้อื่นกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายและเสรีภาพ จนไม่กล้าเข้าออกรัฐสภา อันเป็นการกระทบสิทธิเสรีภาพผู้อื่น
ทั้งนี้ การชุมนุมดังกล่าวจึงไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบอันจะได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ อีกทั้งการปิดกั้นดังกล่าวเป็นไปเพื่อไม่ให้คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา จะทำให้คณะรัฐมนตรีเข้าบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้ตามาตรา 176 ของรัฐธรรมนูญ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมีหน้าที่ที่จะเข้าสลายการชุมนุมเพื่อแก้ไขปัญหาจากการกระทำของผู้ชุมนุมได้
พันธมิตรฯ จงใจฆ่าตำรวจ
หนังสือระบุว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจนมีผู้เสียชีวิตและบาดแจ็บจำนวนมากนั้นได้ปรากฏชัดว่า ฝ่ายพันธมิตรฯ ได้เตรียมอาวุธปืน เข้ามายิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งได้ใช้ด้ามธงดัดแปลงเป็นอาวุธทำร้ายตำรวจจนบาดเจ็บสาหัส และยังได้นำเอารถยนต์เชอโรกีบรรทุกวัตถุระเบิดในลักษณะเดียวกันกับคาร์บอมบ์ แต่เกิดการระเบิดขึ้นก่อน ทำให้ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี หัวหน้าการ์ดของพันธมิตรฯ เสียชีวิตอย่างอนาถ และภายหลังเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม ตำรวจสามารถจับกุมการ์ดพันธมิตรฯ ออกรถตระเวนพบมีอาวุธ และกระสุนปืน เป็นประจักษ์ว่า การชุมนุมของพันธมิตรฯ เป็นการชุมนุมของแก๊งอันธพาลและมิจฉาชีพทางการเมือง
“การที่พันธมิตรฯ และสื่อมวลชนในเครือข่าย ยังคงบิดเบือข้อมูล ข่าวสาร ให้ข้อมูลเพียงด้านเดียวในการโจมตีว่าตำรวจใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ เป็นผู้ทำร้ายประชาชนจึงเป็นการเหยียดหยามทำลายศักดิ์ศรีของตำรวจทั่วประเทศ หากปล่อยไว้เช่นนี้จะนำความเสื่อมเสียตกต่ำมายัง สตช. เป็นการทำลายขวัญกำลังใจของตำรวจ รวมทั้งประชาชนที่ได้รับข้อมูลอาจเกิดความรู้สึกเกลียดชังตำรวจ” หนังสือดังกล่าวระบุ
เร่งประณามพวกป่าเถื่อน
หนังสือดังกล่าวระบุอีกว่า นอกจากนี้การที่ พล.ต.อ.พัชรวาท ได้ไปออกรายการให้สัมภาษณ์สดในรายการข่าว เรื่องเด่นเย็นนี้ ทางช่อง 3 ร่วมกับผู้นำเหล่าทัพเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ที่ผ่านมา การออกรายการดังกล่าวย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสถาบันตำรวจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการให้สัมภาษณ์ของผู้นำเหล่าทัพโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเห็นของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. นำมาสู่กระแสข่าวของการก่อการรัฐประหาร ซึ่งจะให้ประเทศไทยตกต่ำล้าหลัง เสียหายเป็นอย่างยิ่งดังที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต นปช.จึงขอเรียกร้อง 1.ให้ สตช. เร่งดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริง นำหลักฐานออกตีแผ่ให้สังคมได้รับรู้ถึงพฤติกรรมป่าเถื่อนของพันธมิตรฯพร้อมทั้งรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับแกนนำพันธมิตรฯและผู้เกี่ยวข้องในความผิดต่อกฎหมายอาญาและรัฐธรรมนูญปี 2550
2.สตช. ต้องปกป้องระบอบประชาธิปไตย หากผู้นำเหล่าทัพหรือกลุ่มทหารกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก่อการรัฐประหารขึ้นมา ให้กำลังตำรวจออกมาทำหน้าที่รักษากฎหมายบ้านเมือง รักษาระบอบประชาธิปไตย ด้วยการเข้าจับกุมดำเนินคดีโดยเฉียบขาดต่อผู้ก่อการรัฐประหาร ในฐานะที่เป็นกบฏซึ่งประชาชนคนไทยทั้งประเทศจะยืนหยัดเคียงข้างในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจเพื่อประชาธิปไตย 3. สตช.ต้องเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย ในการจับกุมผู้กระทำความผิดกฎหมายของพันธมิตรฯ ด้วยการเพิ่มเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง เลื่อนขั้นให้เหมาะสม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่ม นปช. ได้มอบพระพุทธรูป จาก จ.สิงห์บุรี ผ้ายันต์ และดอกไม้ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับตำรวจ ผ่านรองเลขานุการตำรวจแห่งชาติด้วย พร้อมนำสติ๊กเกอร์ที่มีข้อความว่า "ตำรวจเคียงข้างประชาชนต่อต้านเผด็จการ" ติดไว้ใต้ฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.4 ด้วย
ตอก “ปปช.เถื่อน” โคตรหน้าด้าน
จากนั้นเวลา 13.30 น. ที่ กองปราบปราม แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมด้วยกลุ่มผู้สนับสนุนประมาณ 30 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ไพรินทร์ แจ่มจำรัส พนักงานสอบสวน (สบ3) กก.1 บก.ป.เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และพวก รวม 9 คน ในความผิดฐานแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน โดยตนไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจกระทำการนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145
นายสมยศ กล่าวว่า ขอให้ ป.ป.ช.ยุติการปฏิบัติหน้าที่ พิจารณาสำนวนคำไต่สวน เอกสาร คำวินิจฉัย หรือคำสั่งใด ๆ เนื่องจากมีที่มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่จะดำรงตำแหน่งได้นั้นต้องได้รับการโปรดเกล้าฯ เสียก่อน แต่คณะ กรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้ไม่ได้เข้าเฝ้ารับการโปรดเกล้าฯ แต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมไม่ไปร้องทุกข์ต่อศาล นายสมยศ กล่าวว่า ต้องการกระทำตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมโดยร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเสียก่อน เพื่อให้เจ้าพนักงานได้พิจารณาความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
“คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้มีที่มาไม่ถูกต้อง และที่ผ่านมาก็มีการเลือกปฏิบัติโดยจะเห็นได้จากกรณีที่มีการร้องเรียนพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) คณะกรรมการ ป.ป.ช.กลับดำเนินการอย่างล่าช้า ขณะที่การร้องทุกข์ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลับมีการตั้งคณะกรรมการไต่สวนอย่างรวดเร็ว” นายสมยศ กล่าว
แฉสันติอโศกสมคบทหาร
นายสมยศ กล่าวอีกว่า วันที่ 21 ตุลาคม เวลาประมาณ 13.00 น. ตนพร้อมด้วย กลุ่ม นปช.ประมาณ 100-200 คน จะเดินทางไปยัง วัดสระเกศ เพื่อเข้าพบ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( เกี่ยว อุปเสโณ ) หรือ"สมเด็จเกี่ยว" เนื่องจาก ทางกลุ่มเห็นว่า ควรให้สถาบันสงฆ์ เข้ามามีส่วนร่วมในการปกป้องประชาธิปไตย เพราะเวลานี้มีกลุ่มคนที่เรียกตนเองว่า "สันติอโศก" สมคบคิดกับทหาร โดยตั้งใจว่า จะให้เกิดความรุนแรง ซึ่งทางกลุ่ม เห็นว่าความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นนั้น จะส่งผลกระทบต่อสถาบันศาสนาด้วย
อย่างไรก็ตาม นายสมยศ กล่าวต่อว่า หากจะมีการระดมคนจากต่างจังหวัดเข้ามา เพื่อปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลนั้น กลุ่ม นปช.จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย และเรื่องนี้คงต้องไปถาม พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค หรือ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล มากกว่า