WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, February 5, 2009

"บรรหาร"โวยปชป."ใจแคบ"ทำ 2 กท.ชาติไทยพัฒนาได้งบฯน้อย "มาร์ค"อ้างแบ่งให้กลัวเบิกจ่ายช้า

ที่มา มติชนออนไลน์

"เติ้ง"ค้านแจกเงิน 2 พัน กลัวเก็บไว้ในกระเป๋าเฉยๆ โวย 2กระทรวงชท.ฯได้งบน้อย บอกเคยพูดปชป.ไปแล้วอย่าใจแคบกับพรรคร่วมฯ "อภิสิทธิ์"อ้างแบ่งให้กลัวเบิกจ่ายช้า เพราะเป็นงบรักษากำลังซื้อ ขอให้มั่นใจจัดสรรไม่มีเรื่องการเมือง ระบุจะหาโอกาสเคลียร์ ปชป.ปูดกลุ่ม"เนวิน"หวงก้าง ทำเบิกจ่ายล่าช้า

"บรรหาร"โวย2กระทรวงชาติไทยพัฒนาได้งบน้อย

นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ไม่เห็นด้วยกับการนำเงินไปแจกหัวละ 2 พันบาทตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และยังแสดงความไม่พอใจ การจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมตามร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 2552 วงเงิน 1.167ล้านบาท เนื่องจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่รัฐมนตรีพรรคชาติไทยพัฒนากำกับดูแลได้รับการจัดสรรน้อย โดยกล่าวเรื่องนี้ระหว่างการให้สัมภาษณ์ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ก่อนออกเดินทางไปพักผ่อนที่ฮ่องกง เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ว่า "ความจริงเรื่องงบกลางปีถ้าพูดตรงไปตรงมา ผมก็ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ เพราะที่บอกว่างบกลางกระจายลงไปเพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นศรษฐกิจนั้น แต่ผมเห็นว่างบที่ให้ไปไม่ได้แก้ไขปัญหาเลยเพราะถ้าจะฟื้นฟูเศรษฐกิจต้องกระตุ้นด้านการท่องเที่ยว แต่รัฐบาลกลับจัดสรรงบมาเพียง 500 ล้านบาท หรืออย่างโครงการถนนไร้ฝุ่นก็ควรที่จะให้กระทรวงคมนาคมไปดำเนินการ เพราะใช้เวลา 4-5 เดือน การทำโครงการก็สำเร็จแล้วเงินที่ลงไปก็ไม่หาย เพราะนำไปจ้างแรงงานและนำไปซื้อเครื่องจักรกลทำให้รัฐบาลได้เป็นเงินภาษีกลับคืนมาด้วย หรืออย่างกระทรวงเกษตรฯก็ได้มาแค่ 2 พันล้านบาท ขณะที่บางกระทรวงไม่จำเป็นต้องได้งบประมาณมากขนาดนั้น ก็มีอยู่หลายกระทรวง แต่การเอาเงิน 2 พันบาท ไปให้ข้าราชการที่เงินเดือนไม่ถึง 15,000 บาท ผมเห็นว่าเป็นการเอาเงินไปใส่กระเป๋าเฉยๆ เขาอาจจะเอาไปเก็บก็ได้"


"เติ้ง"บอกประชาธิปัตย์อย่าใจแคบกับพรรคร่วม

ส่วนเรื่องที่ฝ่ายค้านอาจยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ขณะที่มีปัญหาการจัดสรรงบประมาณเช่นนี้ จะส่งผลต่อรัฐบาลหรือไม่นั้น นายบรรหาร กล่าวว่า ไม่น่ามีปัญหา "แต่ผมได้ให้หลักกับพรรคประชาธิปัตย์ไปเมื่อครั้งที่มาเชิญพรรคชาติไทยพัฒนาให้เข้าร่วมรัฐบาลว่า การเป็นแกนนำรัฐบาลต้องใจกว้างอย่าใจแคบกับพรรคร่วมรัฐบาล"

นายตุ่น จินตะเวช ส.ส.อุบลฯ พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า เรื่องนี้ทางพรรคเข้าใจความรู้สึกของนายบรรหารดี เพราะที่ผ่านมารัฐบาลออกมาบอกว่ามีนโยบายจะช่วยเหลือเกษตรกรคนยากจน ให้ความสำคัญกับการพัฒนาแหล่งน้ำ ซึ่งสภาพเศรษฐกิจตอนนี้ส่งออกก็พึ่งพาไม่ได้ เหลือเพียงด้านการเกษตรฯกับการท่องเที่ยวที่จะมาแก้วิกฤต แต่เห็นงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้กระทรวงเกษตรฯแค่ 2 พันล้านบาทแล้ว แสดงว่ารัฐบาลไม่จริงใจที่จะแก้ปัญหา เงินก้อนแค่นี้จะไปช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างไร ฤดูแล้งก็กำลังจะเข้ามา อย่างน้อยถ้าเกษตรกรมีน้ำทำการเกษตรก็ยังพอผ่อนคลายภาวะวิกฤตได้ มีข้าวกินมีอาหารพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ที่เหลือก็เอาไปขายตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงทำให้ปัญหาความเดือดร้อนของคนชนบทยังผ่อนคลายไปได้ แต่นี้รัฐบาลกลับไม่ให้ความสำคัญตรงจุดนี้ ให้ระวังด้วยว่าแล้งปีนี้ม็อบเกษตรกรจะเข้ามากดดันรัฐบาล ทำให้รัฐบาลต้องเผชิญแรงกดดันอีดด้านหนึ่ง

พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นคงไม่มีปัญหาเพราะก่อนเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นนายกรัฐมนตรีรับปากที่จะไกล่เกลี่ยและดูแลเรื่องนี้ จึงเชื่อว่าจะสามารถพูดจาตกลงกันได้ จะไม่มีผลกระทบอะไรกับการบริหารงานของรัฐบาล


"อภิสิทธิ์"อ้างแบ่งให้กลัวเบิกจ่ายช้า

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนออกเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ว่า ยังไม่มีโอกาสได้ไปเรียนนายบรรหารเลย แต่ที่จริงได้ทำความเข้าใจกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง อย่างกระทรงเกษตรฯทราบว่ามีงานที่สำคัญอย่างเรื่องแหล่งน้ำ แต่ประเด็นคือ การใช้จ่ายงบประมาณในปี 2552 หน่วยงานอย่างกระทรวงเกษตรฯ อย่างโครงการที่มีอยู่แล้ว 4 เดือนที่ผ่านมา สามารถเบิกจ่ายไปได้ร้อยละ 10 เท่านั้นเอง ถ้าจัดงบประมาณเพิ่มก็ค่อนข้างที่จะเชื่อได้ว่ากว่าเงินจะได้ใช้จ่ายจริง อาจจะต้องข้ามปีงบประมาณ ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เป็นปัญหาเดียวกับกระทรวงคมนาคมและกระทรวงที่เป็นโครงการในลักษณะของการก่อสร้าง ฉะนั้นถ้าเป็นการจัดงบกลางปีในสถานการณ์ปกติ คือมีรายได้เหลือและจะทำโครงการเพิ่มก็เข้าใจได้ว่าคงจะต้องไปดูแลโครงการในลักษณนั้น แต่ขณะนี้เป็นงบเพื่อรักษากำลังซื้อของคนในประเทศ และจริงๆ แล้วเงินส่วนใหญ่ที่ไปกระทรวงต่างๆ ไม่ใช่ลักษณะของโครงการก่อสร้าง ไม่ใช่ว่าไปดึงโครงการมาอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการหรือกระทรวงนั้นกระทรวงนี้ เงินส่วนใหญ่ที่ออกไป เป็นการจ่ายเงินตรงไปให้กับประชาชน ขณะนี้ยังไม่ได้มีโอกาสทำความเข้าใจ แต่รัฐมนตรีในคณะจะทราบเหตุผลตรงนี้แล้ว


นายกฯให้มั่นใจจัดงบฯไม่มีเรื่องการเมือง

นายอภิสิทธิ์กล่าวตอบคำถาม คิดว่านายบรรหารน้อยใจเรื่องนี้หรือไม่ว่า "เท่าที่ทราบท่านก็ยังให้กำลังใจอยู่ ก็ต้องขอขอบคุณ แต่มันเป็นมุมมอง ความจริงมีความเห็นที่แตกต่างกันได้ แต่อยากให้มั่นใจว่า ทั้งหมดการจัดงบ มันไม่มีเรื่องการเมือง เหมือนกับที่ผมชี้แจงในสภาและผลงานของรัฐบาล ไม่ว่ากระทรวงไหนจะรับผิดหรือรับชอบ ก็ต้องรับผิดชอบร่วมกันอยู่แล้ว"

นายกฯยังกล่าวกรณี พรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรครู้สึกเช่นเดียวกันกับนายบรรหาร จะส่งผลต่อการทำความเข้าใจระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ว่า เรื่องนี้อยู่ที่เหตุและผล จะพิสูจน์ตัวเองด้วยทำงานต่อไป เพราะไม่ได้จัดงบประมาณแค่ครั้งเดียว จะมีการจัดงบประมาณในปีงบประมาณต่อไปแนวก็จะเปลี่ยนไปเพราะแผนเดิมคืองบกลางปีจะเป็นงบพิเศษเพื่อรักษากำลังซื้อ แต่งบปี 2553 จะมุ่งเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เมื่อถามว่า จะหาโอกาสคุยกับนายบรรหารหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จะพยายามหาโอกาส แต่เห็นว่านายบรรหารไปต่างประเทศอยู่ในขณะนี้ และเชื่อว่าจะเข้าใจกันได้ และในการเดินทางเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้ นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาก็ไปด้วย จะได้คุยกัน เมื่อถามว่า เหมือนนายบรรหารจะติดใจมาก นายกฯกล่าวว่า ความเห็นอาจแตกต่างกัน

"ยืนยันว่าไม่มีเรื่องการเมือง เป็นเรื่องที่เราพิจารณาตามหลักแนวคิดของเราในการแก้ปัญหา และไม่ว่าจะอยู่พรรคไหนในรัฐบาล เป้าหมายต้องเหมือนกันอยู่แล้ว คือทำอย่างไรให้เราแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ แก้ไม่ได้ก็เดือดร้อนกันทุกพรรคอยู่แล้วล่ะครับ" นายอภิสิทธิ์กล่าว


"อภิสิทธิ์"เตรียมคุยญี่ปุ่นเรื่องวงเงินกู้เดิม

นายอภิสิทธิ์ถึงการนำคณะ เยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 5-7 กุมภาพันธ์ ว่า การเดินทางครั้งนี้ตั้งเป้าหมายในการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศญี่ปุ่น ในฐานะที่เป็นคู่ค้าและนักลงทุนรายสำคัญให้ได้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงในช่วงเดือนที่ผ่านมา ให้เกิดความเชื่อมั่น เข้าใจ และนำไปสู่การขยายการค้าการลงทุน โดยนายกฯญี่ปุ่นเองได้ประกาศมาตรการให้ความช่วยเหลือภูมิภาคเอเชีย จะได้ไปสอบถามถึงความเป็นไปได้ ที่ไทยจะเข้าไปมีส่วนร่วมหรือได้ประโยชน์จากมาตรการตรงนี้ และจะมีโอกาสได้พบกับภาคเอกชนด้วยมีทั้งอุตสาหกรรมอาหาร ยานยนต์ เหล็ก ท่องเที่ยว ก็จะเป็นโอกาสดีที่จะได้ไปดูลู่ทางการขยายความร่วมมือตรงนี้

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในส่วนของเงินกู้อยู่ระหว่างการปรึกษาหารืออยู่แล้วในโครงการรถไฟฟ้า โดยจะมีการพูดคุยตรงนี้ด้วย เนื่องจากมีรถไฟฟ้า 3 สาย ที่เกี่ยวข้องกับเงินกู้จากญี่ปุ่นจะไปทำความชัดเจนตรงนี้ด้วย น่าจะมีข้อสรุปได้บางส่วน และมีความคืบหน้าอีกบางส่วน ที่จริงสายสีม่วงเป็นขั้นตอนการประมูล สายสีแดงที่น่าจะทำให้เกิดความขัดเจนขึ้นมาได้ ส่วนสายสีน้ำเงินปัญหาตอนนี้น่าจะเป็นเรื่องเทคนิคมากกว่า ที่ไปคุยครั้งนี้จะเป็นเรื่องของเงินกู้เดิมในโครงการต่างๆที่มีการเจรจากันมานานแล้วไม่ใช้เงินกู้ใหม่


"สุเทพ"บอกช่วยไม่ได้รมต.ไม่ท้วงเอง

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องงบประมาณจบไปแล้วไม่ใช่หรือ คงต้องทำความเข้าใจกับนายบรรหารและประชาชนว่างบกลางปีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2552 ที่มีนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานกมธ. จัดทำขึ้นโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มาจากทุกพรรคการเมืองเพื่อนำมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ได้มุ่งเกลี่ยไปให้ครบทุกกระทรวง แม้แต่บางกระทรวงที่คนของพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐมนตรี ก็ไม่ได้รับงบ ยืนยันว่าไม่มีความคิดเรื่องพรรคโน้นพรรคนี้ และในการประชุมครม.ก็ไม่มีรัฐมนตรีจากพรรคชาติไทยพัฒนา ทักท้วงเรื่องนี้เลย

สำหรับเรื่องที่นายบรรหารแสดงความไม่เห็นด้วยกับมาตรการแจกจ่ายเงินช่วยเหลือ 2,000 บาทให้ประชาชนที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท นายสุเทพกล่าวว่า เป็นความเห็นของนายบรรหารก็ต้องรับฟัง แต่ผ่านไปแล้ว เมื่อถามว่า เกรงหรือไม่ว่ากรณีนี้จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะในช่วงที่ฝ่ายค้านเตรียมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจครม. รองนายกฯ กล่าวว่า คิดว่าต้องแยกกัน อย่าไปโยงกับเรื่องอื่น ไม่คิดว่าจะมีปัญหาเรื่องเสียงในสภา เรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คิดว่ารัฐบาลยังมีเอกภาพ


ประชาธิปัตย์ชักเคืองงบภูมิใจไทยเบิกอืด

รายงานข่าวจากกมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯแจ้งว่า ขณะนี้กมธ.ส่วนใหญ่ของฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เริ่มเกิดความอึดอัดใจต่อการบริหารงานของพรรคภูมิใจไทย เนื่องจากการเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2552 เป็นไปด้วยความล่าช้า โดยภาพรวมเพิ่งเบิกจ่ายไปเพียงร้อยละ 7.9 เท่านั้น ซึ่งมีปัจจัยมาจากการชิงความได้เปรียบทางการเมืองของกลุ่มเพื่อนเนวิน โดยเฉพาะงบประมาณที่อยู่ในกระทรวงคมนาคม กรมทางหลวงชนบท โครงการก่อสร้างทางในชนบท ซึ่งกรมบัญชีกลางได้โอนเงินประจำงวดให้กับกรมทางหลวงชนบทตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2551 แล้ว แต่รัฐมนตรีกลุ่มเพื่อนเนวินได้ดึงเรื่องไว้ และอนุมัติเฉพาะจังหวัดที่มีส.ส.ของพรรคภูมิใจไทยสังกัดอยู่เท่านั้น


ข้อมูลสนง.สถิติขรก.มีหนี้สิน84%

นางธนนุช ตรีทิพยบุตร เลขาธิการสำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงานสถิติแห่งชาติได้เผยแพร่ผลสำรวจภาวะการครองชีพของข้าราชการพลเรือนสามัญ ในสังกัดคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ในปี 2551 เพื่อใช้ประโยชน์ในการพิจารณากำหนดนโยบายของรัฐเกี่ยวกับเงินเดือน ค่าตอบแทน และสวัสดิการต่างๆ ของข้าราชการให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ โดยเก็บรวมรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นข้าราชการทั้งสิ้น 12,945 ราย พบว่า ครอบครัวข้าราชการมีหนี้สินถึงร้อยละ 84 โดยมีหนี้สินเฉลี่ย 749,771 บาท/ครอบครัว ทั้งนี้ข้าราชการที่เป็นหนี้สูงสุดคือข้าราชการระดับ 3-5 คิดเป็นร้อยละ 85.8 (มีหนี้สินเฉลี่ย 614,109 บาท) รองลงมาคือข้าราชการระดับ 6-8 ร้อยละ 83.6 (มีหนี้สินเฉลี่ย 847,003 บาท) และข้าราชการระดับ 1-2 ร้อยละ 77.7 (มีหนี้สินเฉลี่ย 277,040 บาท) ขณะที่ข้าราชการระดับ 9-11 มีหนี้สินเพียงร้อยละ 48.2 เท่านั้น แต่มีหนี้สินเฉลี่ยสูงถึง 1,462,525 บาท


จี้รัฐบาลขึ้นเงินเดือนอุ้มให้อยู่ได้

นางธนนุชกล่าวว่า สำหรับหนี้สินที่เกิดขึ้นกับครอบครัวข้าราชการส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 56.3 เป็นหนี้สินเพื่อที่อยู่อาศัย รองลงมาเป็นหนี้สินเพื่อซื้อ หรือซ่อมแซมยานพาหนะ ร้อยละ 16.7 และเพื่อใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภค ร้อยละ 12.4 ทั้งนี้ครอบครัวข้าราชการมีรายได้เฉลี่ย 41,139 บาท/เดือน ส่วนใหญ่เป็นค่าตอบแทนจากเงินเดือน/เงินประจำตำแหน่ง และมีรายได้ที่ได้รับเป็นครั้งคราวบาง เช่น ค่าล่วงเวลา เบี้ยประชุม โบนัส นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการประกอบธุรกิจส่วนตัว อย่างไรก็ตามมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 32,411 บาท/เดือน โดยในจำนวนนี้เป็นค่าอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ 24.4 รองลงมาเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเดินทางและการสื่อสาร ร้อยละ 19.3 และค่าซื้อยานพาหนะ เครื่องเรือน คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ ร้อยละ 15.1 ส่วนที่เหลือเป็นค่าการศึกษา ค่าใช้จ่ายสมทบ ค่าที่อยู่อาศัย ค่าใช้จ่ายด้านการบันเทิง ฯลฯ

"เมื่อเปรียบเทียบรายได้ ค่าใช้จ่าย และหนี้สินต่อรายได้ของครอบครัวข้าราชการปี 2547-2551 จะพบว่าครอบครัวข้าราชการมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าค่าใช้จ่าย แต่ทั้งรายได้และค่าใช้จ่ายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในปี 2551 ข้าราชการมีรายได้เพิ่มเป็น 41,139 บาท/เดือน จากเดิมได้ 29,231 บาท/เดือนในปี2547 ส่วนค่าใช้จ่ายเพิ่มเป็น 32,441 บาท จากเดิม 24,970 บาท ขณะที่หนี้สินต่อรายได้ของครอบครัวข้าราชการเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 18.2 จากเดิมร้อยละ 16.8 ดังนั้นรัฐบาลควรหาแนวทางช่วยเหลือข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็น การปรับอัตราเงินเดือน การเพิ่มค่าตอบแทนและสวัสดิการต่างๆ เพื่อให้ข้าราชการสามารถดำรงชีพอยู่ได้อย่างเหมาะสมกับค่าครองชีพเปลี่ยนแปลงไป" นางธนนุชกล่าว


สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เชื่อมั่นศก.เติบโต 0-2%

นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) แถลงสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันว่า กระทรวงการคลังยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2552 มีโอกาสถึง 80% ที่จะเติบโตระหว่าง 0-2% ตามที่ สศค. และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ไว้ เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย จึงเชื่อว่าโอกาสที่เศรษฐกิจไทยปีนี้จะติดลบ 4%จึงไม่น่าจะเกิดขึ้น

"ที่เราต้องพูดวันนี้ไม่ได้ต้องการจะออกมาตอบโต้นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่าหากไม่ทำอะไร เศรษฐกิจไทยปีนี้จะหดตัว 4% เพราะท่านเป็นถึงกูรูเศรษฐกิจประเทศไทย และเก่งกว่าผมเยอะ เพียงแต่มีนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศโทรศัพท์มาสอบถามผมจำนวนมากเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยว่าจะหดตัวมากที่สุดในโลกเลยหรือ ซึ่งต้องบอกว่าถ้าแต่ละประเทศไม่มีมาตรการออกมาเราจะหดตัวมากกว่า 4% ด้วยซ้ำ แต่ทุกประเทศก็มีมาตรการ ดังนั้น โอกาสที่เศรษฐกิจจะดีขึ้นก็มีมากกว่าที่จะแย่" นายสมชัยกล่าว

นายสมชัยกล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2553 มองว่าจะขยายตัวได้มากกว่า 3% ทำให้จัดทำงบประมาณแบบขาดดุลได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่เป็นอันตรายกับเศรษฐกิจ เนื่องจากสศค.ประเมินแล้วว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มดีขึ้นในไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2552 จากการเมืองที่นิ่งขึ้น ทำให้ฝ่ายบริหารมีเวลาคิดมาตรการที่ดีออกมาได้อย่างต่อเนื่อง และน่าจะมีโอกาสที่กฎหมายดีๆ หลายฉบับจะผ่านการพิจารณาออกมาบังคับใช้ดูแลเศรษฐกิจได้ดีขึ้น


อ้างสัญญาณเศรษฐกิจปี2552ยังดีอยู่

"สัญญาณเศรษฐกิจในปี 2552 ยังดีอยู่ เพราะเงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยไม่สูง อัตราว่างงานแค่ 1.4% ขณะที่ราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยก็น่าจะอยู่ที่ 50-60 เหรียญต่อบาร์เรล ประกอบกับ มีปัจจัยบวกจากภาคส่งออกอุตสาหกรรมสิ่งทอ และอาหารที่ยังขยายตัว ไม่มีการปลดคนงาน มีแต่จะเพิ่มคนงาน เพราะคนส่วนใหญ่หันมาซื้อสินค้าราคาถูกมากขึ้น และถ้าเราเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ได้ตามแผนที่วางไว้ก็จะยิ่งพยุงเศรษฐกิจให้เดินต่อไปได้และจะดีขึ้นในปี 2553 แน่นอน" นายสมชัยกล่าว

ส่วนฐานะเงินคงคลังที่หลายฝ่ายกังวลว่าอยู่ในระดับที่ต่ำจนเกินไปนั้น ผู้อำนวยการสศค.กล่าวว่า ขอยืนยันว่าเงินคงคลังของประเทศไม่ได้อยู่ในภาวะผิดปกติ โดยฐานะเงินคงคลังจะปรับขึ้นลงตามรายจ่ายของประเทศ ซึ่งในช่วงต้นปีจะลดลง และจะปรับเพิ่มขึ้นมากในช่วงที่มีการจัดเก็บภาษีเงินได้ ขณะเดียวกัน ยังมีคณะกรรมการดูแลรายรับรายจ่ายภาครัฐกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด

สำหรับภาวะการขาดดุลเงินสดของรัฐบาล ณ สิ้นปีงบประมาณ 2552 นายสมชัยกล่าวว่า เบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ในระดับ 4.4 แสนล้านบาท และดุลเงินนอกงบประมาณจะเกินดุลกว่า 4 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ โดยส่วนตัวมองว่ายังไม่เสี่ยง เพราะยังสามารถบริหารจัดการเงินคงคลังได้ โดยคาดว่า ณ สิ้นปีงบประมาณ 2552 เงินคงคลังน่าจะอยู่ในระดับ 1.2 แสนล้านบาท ทั้งนี้อยู่บนสมมติฐานว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้อยู่ที่ 0-2%จะมาจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 3.5 แสนล้านบาท รวมกับการจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการ 1.1 แสนล้านบาท ภายหลังการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตน้ำมันไปก่อนหน้านี้


ฝันสถานการณ์จัดเก็บรายได้ดีขึ้น

นายสมชัยกล่าวว่า จากการประเมินรายได้ของรัฐบาลในเบื้องต้นที่เดิมคาดว่าจะจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการณ์ 1.2-1.3 แสนล้านบาท น่าจะมีสถานการณ์ดีขึ้น โดยคาดว่าจะต่ำกว่าเป้าหมายเพียง 1.1 แสนล้านบาท เนื่องจากได้รับผลดีจากการเพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเดือนละประมาณ 1,900 ล้านบาท หากสถานการณ์จัดเก็บรายได้เลวร้ายกว่าที่คิด รัฐบาลยังมีเงินคงคลังที่หยิบมาใช้ก่อนได้ เพียงแต่จะต้องยึดวินัยการคลังตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

"เราประเมินว่าถึงสิ้นปีงบประมาณนี้ รัฐจะขาดดุลงบประมาณ 5 แสนล้านบาท โดยจะมาจากการเก็บรายได้ที่คาดว่าจะต่ำกว่าเป้าหมายกว่า 1.1 แสนล้านบาท จากกรณีเบิกจ่ายงบประมาณปกติได้ 94% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี จากการเบิกจ่ายงบกลางปีเพิ่มเต็มจำนวน และเบิกจ่ายงบเหลื่อมปีของปีงบประมาณ 2551" นายสมชัยกล่าว


มหาวิทยาลัยหอการค้าประเมินตัวเลข3กรณี

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่าได้ประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยปี 2552 ไว้ 3 กรณี คือ กรณีที่มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุด 60% บนสมมติฐานเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอย่างมากในครึ่งปีแรกและฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง และทั้งปีเศรษฐกิจโลกขยายตัว 0.5% และการค้าโลกติดลบ 2.8% ขณะที่การเมืองไทยมีเสถียรภาพมากขึ้นและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเริ่มมีผลในช่วงหลังของปี จะทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกติดลบ 3-5% และครึ่งปีหลังขยายตัวบวก 1-3%

นายธนวรรธน์กล่าวว่า ส่วนการส่งออกคาดว่าจะติดลบ 5.8% หรือมูลค่า 1.65 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ นำเข้าติดลบ 6.1% หรือมูลค่า 1.64 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ดุลการค้าเกินดุล 720 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เงินเฟ้อลบ 0.5% ทำให้ทั้งปีเศรษฐกิจไทยติดลบ 1% ซึ่งการติดลบในรอบ 10 ปี นับจากปี 2542 และคาดว่าจะมีการว่างงานประมาณ 9 แสนคนถึง 1.2 ล้านคน หรืออัตราว่างงาน 2.3-3.1% เพิ่มขึ้นจากปี 2551ที่มีการว่างงาน 5 แสนคนหรืออัตรา 1.5% ของประชากรรวม


คาดมูลค่าส่งออกหายวับ3.5แสนล้าน

"ปีนี้เป็นปีแห่งความยากลำบากของการส่งออก ซึ่งคาดว่ามูลค่าส่งออกจะหายไปถึง 3.5 แสนล้านบาท โดยทุก 1 แสนล้านบาทที่หายไปจะทำให้เศรษฐกิจติดลบ 1% เมื่อรายได้หายไป 3 แสนกว่าล้านบาท ก็จะทำให้เศรษฐกิจติดลบ 3% เมื่อรวมกับการท่องเที่ยวที่คาดว่ารายได้จะหายไปอีก 7หมื่นถึง 1 แสนล้านบาท จึงต้องปรับลดประมาณการเศรษฐกิจจากเดิมคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 0-2% เป็นติดลบ 1% แต่เศรษฐกิจไทยยังดีกว่าหลายประเทศ ไม่ได้ขยายตัวต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเอเชีย เช่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ที่ติดลบมากกว่าไทย" นายธนวรรธน์กล่าว


นายธนวรรธน์กล่าวว่า โอกาสที่เงินเฟ้อของไทยจะติดลบต่อเนื่องไปถึงเดือนสิงหาคมนี้ เป็นผลจากต้นทุนสินค้าลดลง ราคาสินค้าและสินค้าเกษตรลดลง และกำลังซื้อลดลงบ้าง ซึ่งยังไม่รุนแรงจนถึงเงินฝืดแต่ก็เป็นการตกต่ำในรอบ 7 ปีนับจากปี 2545


ณรงค์ชัยชี้มาตรการอืดอาจติดลบได้

นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.)กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง“ทิศทางเศรษฐกิจไทย”ในงานสัมมนาเชิงวิชาการ สมาคมปริญญาโทสำหรับผู้บริหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2552 อาจเติบโตได้ 1% ซึ่งต้องรอดูมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐว่าจะปฏิบัติได้เร็วเพียงใดและจะมีมาตรการเพิ่มเติมอย่างไรบ้างโดยปีนี้รัฐบาลต้องดูแลการส่งออกให้ติดลบเพียง 2.7% ไม่เช่นนั้นจะทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยติดลบ

นายณรงค์ชัยกล่าวว่า มาตรการที่ออกมาส่วนใหญ่เป็นการกระตุ้นการบริโภค และเป็นการนำเงินในอนาคตมาใช้ ซึ่งจะส่งผลให้มีภาระต้องหาเงินมาทดแทน แต่คาดว่ารัฐบาลจะหามาตรการกระตุ้นภาคการลงทุนมาเสริมในระยะต่อไป เพราะการกระตุ้นการลงทุนจะช่วยสร้างรายได้ในอนาคตกลับคืนมา

"หากมาตรการต่างๆมีการปฏิบัติอย่างล่าช้า ก็จะมีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะติดลบ แต่คงจะไม่ติดลบมากที่สุดในโลก ทั้งนี้ รัฐบาลจะต้องเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2552 เพราะที่ผ่านมามีความล่าช้า โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)ส่วนมาตรการที่ออกมาช่วงนี้ถือว่ามาถูกทางแล้ว แต่อยากให้รัฐบาลพยายามเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน เพื่อลดการนำเข้าน้ำมัน รวมถึงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมตามที่นายกรัฐมนตรีกล่าวไว้บนเวทีการประชุมเวิลด์อีโคโนมิค ฟอรั่ม ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมื่อเร็วๆนี้" นายณรงค์ชัยกล่าว


หากส่งออกไม่ขยายหวัง"กระตุ้น"ยาก

นายสมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงานเสวนาเชิงวิชาการ เรื่อง “จะอยู่หรือไม่ เศรษฐกิจไทย ปี 2552” ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีโอกาสติดลบประมาณ 2-3% หากการส่งออกขยายตัวติดลบมากกว่า 10% ซึ่งจากการส่งออกที่ติดลบต่อเนื่องตั้งแต่เดือนธันวาคม 2551 ถึงมกราคม 2552 ถือว่าน่าเป็นห่วงมาก แต่ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยคงไม่ติดลบมากที่สุดในโลก

“ถ้าการส่งออกไม่ขยายตัว จะทำให้การกระตุ้นบริโภคภายในประเทศไม่ประสบความสำเร็จ เพราะประชาชนจะจับจ่ายใช้สอยก็ต่อเมื่อภาวะเศรษฐกิจและการส่งออกขยายตัวได้ดี ดังนั้นรัฐบาลจะต้องรักษาอัตราการขยายตัวของการส่งออกไว้ และเร่งการลงทุนภาครัฐโดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจ็คต์ เพื่อส่งสัญญาณให้เอกชนเห็นถึงความพร้อมของภาครัฐ”นายสมภพกล่าว


สมาคมธนาคารระบุยุลดดบ.ไม่ถูกต้อง

นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทยกล่าวว่า แนวทางที่จะใช้วิธีลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นไม่ถูกต้อง เพราะปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ แต่ไม่มีคนกู้ ทำให้เกือบทุกประเทศต้องใช้มาตรการทางการคลังมากขึ้น ทุกประเทศจึงต้องยอมสร้างหนี้ แต่ถ้าเต็มเพดานการกู้ของภาครัฐแล้ว ในยามวิกฤต ถ้าต้องแก้กฎหมายเพื่อขยายเพดานก็ต้องทำ

"ทุกประเทศควรแก้วิกฤตไปพร้อมๆกัน เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้น ไม่ใช่ต่างคนต่างทำอย่างที่เป็นอยู่ แต่เศรษฐกิจไทยคงไม่เจ๊ง ยังอยู่ได้ แต่อยู่ไม่สบาย และคงไม่ฟื้นตัวเร็ว ซึ่งกลางปีนี้ยังมีปัญหาจากการส่งออกใน 3 ประเทศใหญ่คือสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่นที่ยังไม่ฟื้น การพึ่งพาการค้าในเอเชียเพื่อทดแทน 3 ประเทศใหญ่ที่ชะลอตัวคงไม่เพียงพอ เศรษฐกิจไทยในปีนี้ต้องประคับประคองไม่ให้เลวร้ายกว่านี้" นายธวัชชัยกล่าว

เพื่อไทยข้องใจขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน

ทางด้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย(พท.) ตั้งกระทู้ถามสดเรื่องการปรับขึ้นราคาน้ำมัน ระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันเดียวกัน โดยกล่าวว่า การปรับขึ้นราคาน้ำมันล่าสุดโดยมีการบอกล่วงหน้า ทำให้คนเติมน้ำมันต่อคิวยาว ทั้งนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน 1.50 บาท และเตรียมจะขยับขึ้นอีก4 ครั้ง ไปจนถึง 5 บาท ขณะที่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ปรับลดลง ไม่ได้ขึ้นจริง เพราะใช้กองทุนน้ำมันไปพยุงไว้ ตอนนี้รัฐบาลกำลังหาเงินกระเป๋าซ้ายมาใส่กระเป๋าขวา คนรวยไม่เดือดร้อน แต่คนหาเช้ากินเข้าเดือดร้อนซึ่ง และยังมีขบวนการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนเข้ามาในภาคใต้กำลังฟื้นกลับมา โดยลักลอบเอาน้ำมันเถื่อนมาจากประเทศเพื่อนบ้านในราคาถูก ไม่รู้ว่าใครจะได้ประโยชน์ รัฐบาลชุดนี้ชอบให้เกิดของถื่อน แทนที่จะให้มีหวยบนดินก็พยายามให้มีหวยใต้ดิน จึงอยากถามว่า การขึ้นราคาน้ำมันรัฐบาลได้คำนึงผลกระทบกับคนไทย ผู้มีรายได้น้อย คนจน ชาวประมง ผู้ใช้น้ำมันทั้งประเทศอย่างไร


"กรณ์"โต้คิดรอบคอบแล้วก่อนขึ้น

นายกรณ์ จาติกวณิช ชี้แจงว่า การที่รัฐบาลปรับสูตรจัดเก็บภาษีน้ำมันเพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสภาพความเป็นจริง ซึ่งเป้าหมายการปรับภาษีน้ำมันก็ยึดความต้องการของผู้บริโภค และส่งเสริมเกษตรกรและผู้ประกอบการในการผลิตพลังงานทดแทน ส่วนภาษีน้ำมันดีเซล คิดว่าราคาต่อผู้บริโภคจะอยู่ได้ ราคาน้ำมันตอนนี้อยู่ที่ 40 เหรียญต่อบาร์เรล แนวโน้มการฟื้นตัว ยังไม่เกิดขึ้นในเร็วนี้ รัฐบาลจะต้องทบทวนคงไว้การเก็บภาษีสรรพสามิตให้สอดคล้องมากขึ้น ในส่วนของเรื่องการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อน ปัจจุบันหลังจากการปรับราคาขึ้นทำให้ส่วนต่างระหว่างน้ำมันในไทยและมาเลเซีย 6 ถึง 7บาทต่อลิตรซึ่งยังน้อยกว่าช่วงปีที่แล้ว ก่อนรัฐบาลประกาศมาตรการ 6 เดือนซึ่งส่วนต่างของราคาน้ำมันไทยกับมาเลเซียสูง 15 บาทต่อลิตรดังนั้นแรงจูใจในขณะนี้เกี่ยวกับการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อน จึงมีไม่มากเหมือนที่ผ่านมา

"เรื่องปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน รัฐบาลได้คิดอย่างละเอียดรอบคอบดีแล้ว เพราะน้ำมันเป็นสินค้านำเข้าถึงร้อยเปอร์เซ็นต์วันนี้ ราคาอาจถูกก็จริง แต่ในอนาคต เชื่อว่าราคาจะต้องแพงขึ้นอย่างแน่นอน" นายกรณ์ กล่าว