ที่มา ไทยรัฐ

จนบัดนี้ มีผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าไปแล้ว 24 ราย มีผู้บาดเจ็บสาหัสอีกนับร้อยรายจากจำนวนผู้บาดเจ็บเกือบ 900 ราย
โศกนาฏกรรมการเมืองครั้งนี้ถือว่าหนักหนาสาหัสในรอบ 20 ปี นับตั้งแต่ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ที่มีความสูญเสียอย่างมากมายเป็นบทเรียนที่ไร้คุณค่า มีวีรชนที่ถูกลืมเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก
ดูท่าทีการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างสองขั้วอำนาจ เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เพราะรัฐบาลมองผู้ชุมนุมคือศัตรู ปูดเรื่องของการก่อการร้าย เรื่องการก่อวินาศกรรม เรื่องที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงแผ่นดิน
เป็นการทุ่มเทสรรพกำลังของรัฐบาลทั้งหมดเข้า ทำสงครามแตกหัก กับผู้ชุมนุม สร้างความชอบธรรมที่จะนำไปสู่การใช้กำลังและความรุนแรงในการปราบปรามผู้ชุมนุมระลอกใหญ่
โดยที่รัฐบาลลืมสำนึกไปว่า กำลังทำสงครามกับคนไทยด้วยกัน ตรงนี้เป็นจุดอันตรายเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างสงครามกับสันติภาพ
เป็นจุดก้ำกึ่งระหว่างอำนาจประชาธิปไตยกับอำนาจเผด็จการ
ลำพังรัฐบาลไม่สามารถที่จะทำสงครามกับประชาชนได้ เครื่องมือสำคัญของอำนาจรัฐก็คือทหาร ตำรวจ โดยเฉพาะกองทัพถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษเพราะความเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองแต่ละครั้งจะขึ้นอยู่กับอำนาจจากปลายกระบอกปืนว่าจะหันไปในทิศทางใด
ข่าวการวางระเบิดเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงเพื่อให้เกิดไฟดับทั่วกทม.ในวันสลายการชุมนุมก็ดี ข่าวกองทัพถูกปล้นคลังแสงไปเป็นจำนวนนับร้อยกระบอกในระหว่างมีการชุมนุมก็ดี แม้กระทั่งการลงมือปฏิบัติการยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมและทหารของมือที่สาม
มีการถามหาถึงเอกภาพของกองทัพและรัฐบาล
สื่อต่างประเทศมองว่าเกิดความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ระหว่างกองทัพกับรัฐบาล และระหว่างในกองทัพด้วยกันเอง มองว่าทหารขณะนี้ถูกแบ่งเป็นหลายกลุ่ม
มองไปจนถึงตำแหน่ง ผบ.ทบ.คนต่อไปด้วยซ้ำ
สำนักข่าวต่างประเทศยังระบุว่า ความไม่ลงรอยกันที่เกิดขึ้นในกองทัพมีจุดกำเนิดมาจากความไม่พอใจที่ นายทหารกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ มีความก้าวหน้าทางตำแหน่งกว่านายทหารกลุ่มอื่นๆ
และความขัดแย้งในรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นในกองทัพไทย ซึ่ง ไม่ใช่ความขัดแย้งในหมู่ผู้นำกองทัพ แต่เป็นความแตกแยกระหว่างกลุ่มนายทหารระดับสูงกับทหารชั้นผู้น้อย
ที่สำคัญก็คือบทวิเคราะห์ของสื่อต่างประเทศมองลึกลงไปว่า ขณะนี้ประเทศไทยเป็นสุญญากาศในด้านการเมืองและการปกครอง ไม่มีอธิปไตยรัฐ ไม่มีอำนาจที่จะควบคุมการบริหารประเทศทั้งหมด
วิกฤติประเทศไทยนั่นลุกลามจนไม่สามารถที่จะควบคุมได้ เป็นแดนมิคสัญญี.
หมัดเหล็ก
โศกนาฏกรรมการเมืองครั้งนี้ถือว่าหนักหนาสาหัสในรอบ 20 ปี นับตั้งแต่ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ที่มีความสูญเสียอย่างมากมายเป็นบทเรียนที่ไร้คุณค่า มีวีรชนที่ถูกลืมเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก
ดูท่าทีการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างสองขั้วอำนาจ เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เพราะรัฐบาลมองผู้ชุมนุมคือศัตรู ปูดเรื่องของการก่อการร้าย เรื่องการก่อวินาศกรรม เรื่องที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงแผ่นดิน
เป็นการทุ่มเทสรรพกำลังของรัฐบาลทั้งหมดเข้า ทำสงครามแตกหัก กับผู้ชุมนุม สร้างความชอบธรรมที่จะนำไปสู่การใช้กำลังและความรุนแรงในการปราบปรามผู้ชุมนุมระลอกใหญ่
โดยที่รัฐบาลลืมสำนึกไปว่า กำลังทำสงครามกับคนไทยด้วยกัน ตรงนี้เป็นจุดอันตรายเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างสงครามกับสันติภาพ
เป็นจุดก้ำกึ่งระหว่างอำนาจประชาธิปไตยกับอำนาจเผด็จการ
ลำพังรัฐบาลไม่สามารถที่จะทำสงครามกับประชาชนได้ เครื่องมือสำคัญของอำนาจรัฐก็คือทหาร ตำรวจ โดยเฉพาะกองทัพถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษเพราะความเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองแต่ละครั้งจะขึ้นอยู่กับอำนาจจากปลายกระบอกปืนว่าจะหันไปในทิศทางใด
ข่าวการวางระเบิดเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงเพื่อให้เกิดไฟดับทั่วกทม.ในวันสลายการชุมนุมก็ดี ข่าวกองทัพถูกปล้นคลังแสงไปเป็นจำนวนนับร้อยกระบอกในระหว่างมีการชุมนุมก็ดี แม้กระทั่งการลงมือปฏิบัติการยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมและทหารของมือที่สาม
มีการถามหาถึงเอกภาพของกองทัพและรัฐบาล
สื่อต่างประเทศมองว่าเกิดความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ระหว่างกองทัพกับรัฐบาล และระหว่างในกองทัพด้วยกันเอง มองว่าทหารขณะนี้ถูกแบ่งเป็นหลายกลุ่ม
มองไปจนถึงตำแหน่ง ผบ.ทบ.คนต่อไปด้วยซ้ำ
สำนักข่าวต่างประเทศยังระบุว่า ความไม่ลงรอยกันที่เกิดขึ้นในกองทัพมีจุดกำเนิดมาจากความไม่พอใจที่ นายทหารกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ มีความก้าวหน้าทางตำแหน่งกว่านายทหารกลุ่มอื่นๆ
และความขัดแย้งในรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นในกองทัพไทย ซึ่ง ไม่ใช่ความขัดแย้งในหมู่ผู้นำกองทัพ แต่เป็นความแตกแยกระหว่างกลุ่มนายทหารระดับสูงกับทหารชั้นผู้น้อย
ที่สำคัญก็คือบทวิเคราะห์ของสื่อต่างประเทศมองลึกลงไปว่า ขณะนี้ประเทศไทยเป็นสุญญากาศในด้านการเมืองและการปกครอง ไม่มีอธิปไตยรัฐ ไม่มีอำนาจที่จะควบคุมการบริหารประเทศทั้งหมด
วิกฤติประเทศไทยนั่นลุกลามจนไม่สามารถที่จะควบคุมได้ เป็นแดนมิคสัญญี.
หมัดเหล็ก