ที่มา Thai E-Newsคนเสื้อแดงกบฏต่อเผด็จการอำมาตย์ ปกป้องพลเมืองไทยจากการกบฏไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน พร้อมจะใช้กองกำลังติดอาวุธสงครามและการปกปิดสื่อเพื่อครองอำนาจต่อไป ใครที่ไม่อยู่ข้างคนเสื้อแดงก็อยู่ข้างอำมาตย์ และใครที่อ้างว่าเป็นกลาง เป็นคนที่ไม่สนใจการเมืองและสังคมเลย หรือเป็นคนโกหก(ภาพข่าว:รอยเตอร์)
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
ท่ามกลางหมอกควันก๊าซน้ำตา และการเข่นฆ่าประชาชนโดยทหารตามคำสั่งของอำมาตย์
ฝ่ายรัฐบาลทรราช สื่อรับใช้ทรราช นักวิชาการรับจ้างของอำมาตย์ และพวกดัดจริตอ้างตัวเป็นกลางแบบ “สันติวิธี” ทั้งหลาย เช่นกรรมการสิทธิ์ เอ็นจีโอ และกลุ่มอื่นๆ กำลังพยายามเบี่ยงเบนประเด็นหลักของเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายน เพื่อให้ประชาชนสับสนมืนเมาเหมือนโดนควันก๊าซน้ำตารอบสอง ผมจึงขอสรุปประเด็นสำคัญๆ สามข้อของเหตุการณ์ดังนี้
ถ้ารัฐบาลไหน ไม่ว่าที่ไหนในโลก ใช้ทหารติดอาวุธสงคราม กระสุนจริง และรถถัง เพื่อเคลียร์พื้นที่การชุมนุมของประชาชนจำนวนมากที่ไร้อาวุธและไม่ได้ใช้ความรุนแรง ไม่ว่าทหารนั้นจะมีโล่หรือกระสุนยางสมทบไปด้วย ไม่ว่าทหารจะยิงกระสุนจริงขึ้นฟ้าในขั้นตอนแรก แต่ในที่สุด ท่ามกลางความตึงเครียด หรือด้วยความจงใจ ทหารจะใช้กระสุนจริงเพื่อฆ่าประชาชน เพราะทหารไม่ได้นำปืน M16 ปืนกลนานาชนิด หรือรถถัง มาหุงข้าว ไถนา หรือสร้างเกมสนุกๆให้เด็กๆ อาวุธสงครามดังกล่าวมีไว้ฆ่าคนอย่างเดียว
คำถามที่รัฐบาลอำมาตย์ต้องตอบคือ ทำไมใช้ทหารติดอาวุธสงครามในการเคลียร์พื้นที่ของการชุมนุมของประชาชน ในขณะที่ประชาชนมีวินัยในการรักษาความสงบและปราศจากอาวุธ?
นี่คือประเด็นหลักประเด็นแรก มันคือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ไม่ว่าจะมีคนลึกลับแต่งชุดดำวิ่งไปวิ่งมาท่ามกลางหมอกควันหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นมือที่สาม หรือทหารนอกเครื่องแบบ หรือใครก็ว่ากันไป แต่ถ้ามีจริงก็ไม่ใช่คนที่อยู่ในวินัยและการจัดตั้งของ นปช.
แน่นอน เวลาผมพูดถึง “วินัย” ของคนเสื้อแดง อยากให้เรามองภาพการนำอาวุธที่ยึดจากทหารมากองไว้ที่หน้าเวทีเพื่อไม่ให้ใครใช้ อยากให้มองภาพการจับและปล่อยทหารเกณฑ์โดยไม่มีการทำร้าย ในที่อื่นในโลกอาจมีการใช้อาวุธดังกล่าวเพื่อโต้ตอบกับทหาร
พันธมิตรฯ เวลาชุมนุมยึดสนามบินหรือทำลายทำเนียบรัฐบาล หรือตอนที่ไปปิดล้อมรัฐสภาและนำระเบิดมาใช้หรือขับรถทับตำรวจ ได้จงใจทำร้ายร่างกายคนอื่นและทำลายเศรษฐกิจไทย ต่างโดยสิ้นเชิงกับระเบียบวินัยและความสงบเรียบร้อยของคนเสื้อแดงที่ชุมนุมในกรุงเทพฯตั้งแต่เดือนมีนาคมปีนี้
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับอำมาตย์และชนชั้นปกครองไทย ในรอบ 40 ปีที่ผ่านมามีการใช้กำลังทหารติดอาวุธสงคราม เพื่อเข่นฆ่าประชาชนมือเปล่าที่เรียกร้องประชาธิปไตย 5 ครั้งกลางกรุงเทพฯ คือ ๑๔ ตุลา ๑๖, ๖ ตุลา ๑๙, พฤษภา ๓๕, เมษาเลือด ๕๒ และเมษาเลือด ๕๓ ถ้านับเหตุการณ์ตากใบในภาคใต้ในปี ๒๕๔๗ ก็มีทั้งหมด 6 ครั้ง ที่รัฐไทยฆ่าประชาชนมือเปล่าที่ประท้วงตามกระบวนการประชาธิปไตย
ใครที่สั่งทหารติดอาวุธสงครามไปสลายการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย จึงมีความจงใจให้เกิดการเสียเลือดเนื้อ แน่นอน ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย เวลาเขาอยากจะเคลียร์พื้นที่ของผู้ชุมนุม ซึ่งการเคลียร์นั้นอาจชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรมก็ตาม เขาส่งตำรวจไปดัน ไปไล่ ไปจับประชาชน ไม่ได้ส่งทหารและรถถัง นี่คือปัญหาเรื้อรังของสังคมไทยที่ต้องแก้ไขเพื่อให้เรามีประชาธิปไตยแท้
วิธีแก้ไขคือการสร้างมาตรฐานสิทธิมนุษยชนในสังคม โดยการนำผู้ที่กระทำผิดในระดับสูงมาลงโทษ หรืออย่างน้อยประกาศว่าเขาทำผิดอย่างชัดเจนเป็นทางการ และที่สำคัญเราต้องเกษียณนายพลทั้งหลาย ตัดงบประมาณทหาร และลดขนาดของกองทัพลงแบบถอนรากถอนโคน เพราะกองทัพไทยไม่เคยปกป้องประชาชน มีแต่จะฆ่าประชาชนเท่านั้น
นอกจากนี้ต้องมีการยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมฯ และกฎหมายคอมพิวเตอร์ เพื่อไม่ให้มีการใช้ข้ออ้างเรื่องการ “ล้มเจ้า” มาใช้ในการฆ่าประชาชน เราต้องมีเสรีภาพในการแสดงความเห็น
ถ้าถอยหลังมาดูภาพรวมของการกระทำของรัฐบาลอภิสิทธิ์ จะเห็นว่าฝ่ายหนึ่งมีกองทัพ ใช้ทหารติดอาวุธสงคราม และรถถัง และพยายามปกปิดสื่อเพื่อไม่ให้สังคมทราบว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายเป็นประชาชนธรรมดาที่ปราศจากอาวุธที่ต้องการประชาธิปไตย ดังนั้นใครที่เรียกร้องให้ “ทั้งสองฝ่ายรับผิดชอบความรุนแรง” เป็นคนที่โกหกบิดเบือนความจริง มองว่าช้างเท่ากับมด มดจึง “มีส่วนผิดในการที่โดนช้างเหยียบตายเพราะเสือกไปยืนตรงทางเดินช้าง”
ในทางปฏิบัติในโลกจริง คำพูดแบบนี้ไม่ใช่คำพูดของคนที่เป็นกลางแต่อย่างใด แต่เป็นคำพูดที่ลดความรับผิดชอบของฝ่ายรัฐบาลอย่างเดียว คือพยายามแก้ตัวแทนรัฐบาลอำมาตย์นั้นเอง
และถ้าเราดูประวัติของคนเหล่านี้ที่พูดให้ทั้งสองฝ่ายรับผิดชอบ ส่วนใหญ่เป็นคนที่สนับสนุนพันธมิตรฯ หรือรัฐประหาร ๑๙ กันยา หรืออย่างน้อย “สบายใจมากขึ้นเมื่อเกิดรัฐประหาร” ทั้งๆ ที่แก้ตัวเสมอว่า “ไม่ชอบรัฐประหาร”
ประเด็นที่สองคือ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ของอภิสิทธิ์ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งและกระบวนการประชาธิปไตยแต่อย่างใด มาจากการทำรัฐประหาร ๑๙ กันยา และรัฐประหารเงียบของศาลหลายรอบ มาผ่านรัฐธรรมนูญทหาร รวมถึงการกดดันของพันธมิตรฯ ดังนั้นรัฐบาลไร้ความชอบธรรมที่จะปกครองประเทศ และไร้ความชอบธรรมที่จะคัดค้านข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงให้ยุบสภาและคืนอำนาจให้ประชาชนโดยสิ้นเชิง ประเด็นนี้มักถูกมองข้ามด้วยความจงใจ โดยเฉพาะจากคนชั้นกลาง พันธมิตรฯ เอ็นจีโอ และนักวิชาการ ที่มองว่าพลเมืองไทยส่วนใหญ่ที่เป็นคนจนไม่มีวุฒิภาวะที่จะลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง เขาจึงคัดค้านการเลือกตั้งเสรี
การที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทำให้การประท้วงยืดเยื้อของคนเสื้อแดงและการปิดถนนบางจุดในกรุงเทพฯ มีความชอบธรรม และที่สำคัญรัฐบาลอภิสิทธิ์มีวิธีเดียวที่จะอยู่ต่อและไม่ฟังเสียงประชาชนส่วนใหญ่คือ ประกาศภาวะฉุกเฉิน ใช้กองกำลังเพื่อหวังปราบผู้ชุมนุม และปิดกั้นเซ็นเซอร์สื่อตามกระบวนการเผด็จการของ “รัฐตำรวจ” เพราะเขาไม่กล้าคืนอำนาจให้ประชาชน เขารู้ว่าเขาจะแพ้การเลือกตั้ง และเขารู้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีความศรัทธาในรัฐบาล
อย่าลืมว่าการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งทันที จะยุติภาวะตึงเครียดในกรุงเทพฯ และถ้าการเลือกตั้ง “จะไม่แก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมในระยะยาว” ก็เพราะฝ่ายเสื้อเหลืองและอำมาตย์ไม่ยอมเคารพเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเท่านั้น
ประเด็นที่สามคือเรื่องการ “กบฏ” เพราะฝ่ายเสื้อเหลืองอ้างว่าเสื้อแดงเป็น “กบฏ” คำถามที่ต้องถามต่อคือ “กบฏต่อใครหรืออะไร?”
ใช่ครับคนเสื้อแดงกบฏต่อเผด็จการอำมาตย์ กบฏต่อพวกนายพลในกองทัพ แต่ประเด็นคือ อำมาตย์และกองทัพกบฏต่อประชาชน คนเสื้อแดงกำลังปกป้องพลเมืองไทยจากการกบฏไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน อย่าลืมว่าในระบอบประชาธิปไตยอำนาจอธิปไตยต้องอยู่ที่ประชาชน ใครไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ถือว่ากบฏต่อระบบการปกครองประชาธิปไตย มันง่ายที่จะเข้าใจครับถ้าจริงใจในการเข้าใจ
ตอนนี้สังคมไทยแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งกบฏต่อประชาชนเพื่อปกป้องอภิสิทธิ์ของตนเอง พร้อมจะใช้กองกำลังติดอาวุธสงครามและการปกปิดสื่อเพื่อครองอำนาจต่อไป อีกฝ่ายประกอบไปด้วยพลเมืองธรรมดาที่ต้องการประชาธิปไตย ในสถานการณ์แบบนี้ที่เรื้อรังมาสี่ห้าปีแล้ว ใครที่ไม่อยู่ข้างคนเสื้อแดงก็อยู่ข้างอำมาตย์
และใครที่อ้างว่าเป็นกลาง เป็นคนที่ไม่สนใจการเมืองและสังคมเลย หรือเป็นคนโกหก