WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, April 26, 2010

ปริศนาธรรมก่อนตายของ อเล็กชานเดอร์มหาราช

ที่มา thaifreenews


โดย KAKA

ปริศนาธรรมก่อนตายของ อเล็กชานเดอร์มหาราช

กษัตริย์อเล็กชานเดอร์มหราช เป็นกษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถ ความสามารถของพระองค์นั้นเป็นที่
ประจักษ์แก่นครแคว้นต่างๆทั่วไปเป็นผู้สร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ยุคโบราณ(356-323 ปี
ก่อนคริสตกาล) ในวัยเยาว์พระองค์รับการศึกษาตามแบบ ปรัชญากรีก
โดยพระอาจารย์คนสำคัญ ที่อบรมสั่งสอนพระองค์ตั้งแต่ยังเยาว์วัย
คือนักปราชญ์ระบือโลก นามว่า อริสโตเติล นั่นเอง
ด้วยพระปรีชาสามารถ ในรัชสมัยของพระองค์นั้น
อำนาจของพระองค์จึงแผ่ขยายทั่วคว้าน พระองค์ยกทัพรุกราน
ไปทั่วดินแดนไม่ว่าจะเป็น อาณาจักรเปอร์เซีย ซีเรีย
อียิปต์ เมโสโปเตเมีย เปอร์เซีย และแบคเทรีย ทุกอาณานิคม
ภายใต้การปกครอง กษัตริย์ อเล็กซานเดอร์บุกปราบ
พิชิตดินแดนแว้นแคว้นไปกว่าครึ่งค่อนโลก

แต่เมื่อเพลาอาทิตย์อัสดงมาถึง พระองค์กำลังป่วยหนักด้วยวัยเพียง 40 กว่าพระชันษรรเท่านั้น
เมื่อคณะแพทย์ไม่สามารถที่จะเยียวยาพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้อีกต่อไป
และพระองค์กำลังจะสิ้นพระชนม์ตั้งแต่อายุยังน้อย
ก่อนที่พระองค์จะสินใจนั้น พระองค์ขอกับคณะแพทย์
ผู้ทำการรักษาพระองค์อยู่ 3 อย่างคือ

1.พระองค์ขอให้คณะแพทย์ผู้ทำการรักษาพระองค์เป็นคนนำพระศพท่านออกไป
2.ในระหว่างทางที่มีการเคลื่อนศพของพระองค์มาไปนั้น
ให้นำเอาเงินทองที่มีอยู่ในท้องพระคลัง เอาออกมาและ
ฟ้าโปรยแจกประชาชนที่รายล้อมพระองค์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
3.ในระหว่างทางนั้นให้นำมือสองมือของพระองค์ออกมาจากหีบศพ


สามสิ่งที่พระองค์รับสั่งต่อแพทย์ที่รักษา
พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ นั้นแฝงปริศนาธรรม
ที่พระองค์ต้องการบอกกับชาวโลกและอนุชนรุ่นหลัง
ยามที่พระองค์ล่วงลับไปแล้วก็คือ


1.ทุกคนเกิดมาต้องตาย
การที่พระองค์ให้แพทย์ที่รักษาพระองค์แบกพระองค์ออกไปนั้น
ก็เพื่อจะบอกให้กับประชาชนที่มาร่วมพิธีศพของพระองค์ว่า
แม้แต่แพทย์ที่เก่งที่สุดในแผ่นดินนี้ที่พระองค์จะหามาได้แต่เมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว
คนทุกคนก็ต้องตาย ไม่มีใครที่จะสามารถฉุดรั้งความตายจากเงื้อมมือมัชจุราชได้
ทุกคนเกิดมาต้องตายไม่ว่าจะเป็นใครชนชั้น วรรณะไหน
จะร้ำรวยล้ำฟ้า หรือยาจกติดดินเพียงใด ไม่มีใครสามารถอยู่ค้ำฟ้าได้
ความตาย คือความเท่าเทียมของมนุษย์ที่ธรรมชาติมอบให้แก่ทุกคน

2.ประชาชนคือเจ้าของประเทศตัวจริงไม่ใช้พระองค์
ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ได้บุกปราบอรีราชศัตรูทั่วด้าน
กวาดต้อนผู้คน ทรัพย์สมบัติพัตสถานของคนหนึ่งมาเป็นของตนมากมาย
แต่วันที่พระองค์จากโลกนี้ไปไม่สามารถเอาสิ่งเหล่านั้นไปได้สักอย่าง
จึงรับสั่งให้เอาสมบัติที่ควรจะเป็นของคนเหล่านั้นตั้งแต่แรก แจกคืนไปให้กับประชาชนเหล่านั้นซะ

3. คนเราเกิดมามือเปล่า พอไปก็ไปมือเปล่า ทุกสิ่งที่อย่างที่เคยคิดว่าป็นของพระองค์
ที่ว่าจะเป็นแผ่นดิน ทรัพย์สินเงินทอง ชีวิตคนในปกครอง
นั้นแท้จริงแล้วเป็นแค่ภาพมายาลวงตาพระองค์เท่านั้น
เพราะพระองค์ไม่สามารถนำอะไรติดมือไปหลับตายได้เลยสักอย่างเดียว

“ อันว่าชีวิตของคนเรานั้นมันไม่แน่นอน
จะหาความสุขทางกามวัตถุมากมายนั้นก็หาไป แต่สุดท้ายตายไปเอาไปไม่สักอย่าง
จะลุ่มหลงในอำนาจลาภยศสรรเสริญมากมายเพียงไหนก็ทำไป
จะหลอกคนทั้งโลกว่าตัวเอง ดีเลิศประเสริฐศรี
โดยที่คิดว่าไม่มีใครรู้แต่หรอกใจตัวเองไม่ได้
จิตยามเมื่อตนสิ้นลม ความคิดตาย
ย่อมเปิดเผยกรรมดีกรรมชั่วทั้งหมดไว้ มิอาจปิดบังไว้ได้
แม้ตอนมีชีวิตอยู่ก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น

เพราะตัญหาอุปทาน ตัวกู ของกู
ประเทศนี้เป็นของกู ผู้คนเหล่านั้นเป็นของกู
ทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นของกู
ทำให้เกิดอวิชา เข่นฆ่าผู้คน

ยึดครอง ทรัพย์สินแผ่นดินมาเป็นของตน
สุดท้าย ไม่เห็นมีกษัตริย์ มนุษย์หน้าไหนเอาติดตัวไปได้สักอย่างคนเดียว
สิ่เหล่านั้น ก็ยังคงดำรงอยู่ อย่างเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีของกษัตริย์ซักอย่างเดียว

เพราะกลัวมนุษย์หน้าไหนจะดีกว่า จึงต้องใช้อำนาจบารออกกฎหมายบังคับ
ให้ผู้คนต้องเคารพยกย่อง ไม่ให้ติฉินนิททา หลงอยู่ในถ่อยวจี ที่อ่อนหวาน
ด้วยคำยกยอปอปั้น ประจบสอพอ จนลอยนึกว่าตัวเองไม่ใช่คน เป็นเทวดา “

“ ด้วยสัจธรรมความจริงที่อเล็กซานเดอร์ได้ค้นพบเมื่อ 2000 กว่าปีก่อนนี้เอง
ก็คล้ายกับความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ค้นพบเมื่อกว่า 2500 มาแล้ว
แต่ต่างกันตรงที่ว่า พระพุทธเจ้า ได้ดวงตาเห็นธรรมตั้งแต่วัยเยาว์
จึงรู้ว่า อำนาจล้นฟ้า เหล่านั้น
สมบัติพัตสถานเหล่านั้นแท้จริงแล้ว
ไม่ใช่พระองค์ ไม่เคยเป็นของบิดาด้วยซ้ำ
(หากจะว่าตามหลักรัฐศาสตร์แล้ว
สิ่งเหล่านี้ควรจะเป็นของประชาชน
นั่นแหละไม่ใช่กษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว)
พระองค์จึงไม่ปิติยินดีที่จะนำพากับสิ่งเหล่านั้น
จึงทำให้ พระองค์เบื่อหน่าย
และสละสถานะทางสังคมสูงสุดที่พระองค์
ที่เป็นอยู่ในขนาดนั้น ซึ่งพระองค์จะต้องเป็นกษัตริย์
แล้วออกผนวช จนบรรลุธรรมเป็นศาสดาเอกของโลก
แต่น่าเสียดายที่ ผู้มีปัญญาระดับมหาบุรุษคนหนึ่งคนโลก
เช่นกัน อย่าง อเล็กเซอเดอร์มหาราช
ค้นพบสิ่งเดียวกันนี้ตอนลมหายใจสุดท้ายขอพระองค์มาถึง


< ผู้ใดที่ยังลุ่มหลง มัวเมาอยู่ในอำนาจ
คิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะจีรัณยั่งยืนตลอดไป
ยังหลับไหล ไม่ยอมตื่น จากกิเลส
จงตระหนักรู้ถึงภัยกำลังจะมาถึงตัวในไม่ช้า
เพราะเมื่อถึงวันนั้นและอาจสายเกินแก้
มิใช่เพราะใครทำให้เป็น
แต่เป็นเพราะท่านทำตัวท่านเองตากหาก>


ตัวกู-ของกู
ถ้าจะอยู่ ในโลกนี้ อย่างมีสุข
อย่าประยุกต์ สิ่งทั้งผอง เป็นของฉัน
มันจะสุม เผากระบาล ท่านทั้งวัน
ต้องปล่อยมัน เป็นของมัน อย่าผันมา
เป็นของกู ในอำนาจ แห่งตัวกู
มันจะดู วุ่นวาย คล้ายคนบ้า
อย่างน้อยก็ เป็นนกเขา เข้าตำรา
มันคึกว่า "กู-ของ-กู" อยู่ร่ำไป
จะหามา มีไว้ ใช้หรือกิน
ตามระบิล อย่างอิ่มหนำ ก็ทำได้
โดยไม่ต้อง มั่นหมาย ให้อะไรๆ
ผูกยึดไว้ ว่า "ตัวกู" หรือ "ของกู"ฯ
<< สารธรรม จากท่านพุทธทาสภิกขุ >>