ที่มา ประชาไท เหตุการณ์ความสูญเสียจากเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายนที่มีผู้เสียชีวิต 23 คนเกิดขึ้นบนท้องถนนในกรุงเทพฯ ซึ่งคนเสื้อแดงก็ยังคงปักหลักยึดพื้นที่ช็อปปิ้งแห่งสำคัญอยู่แม้ว่าทหารจะขู่ว่าจะยิงพวกเขาก็ตาม ในขณะที่นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เขายังคงเปิดโอกาสสำหรับการเจรจา และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา บอกว่า เขาต้องการการแก้ปัญหาทางการเมืองและจะไม่มีแผนในการเข้าสลายการชุมนุมที่ทำให้เกิดการปะทะอีก ในดินแดนแห่งรอยยิ้มนี้ คนไทยชอบชี้ให้คนอื่นเห็นถึงธรรมชาติอันสันติของตัวเองอยู่เสมอ แต่คำถามคือ ความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นต่อไป เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้หรือไม่? ปัจจัย 2 ประการที่ทำให้ความรุนแรงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หนึ่ง ความรุนแรงฝังแน่นอยู่ในตัวคนไทย แต่คนไทยก็ไม่ใส่ใจยอมรับมัน สอง เหล่าชนชั้นนำและส่วนที่หนุนหลังนายอภิสิทธิ์เข้าใจผิดคนเสื้อแดง โดยชนชั้นนำเห็นว่า คนเสื้อแดงเป็นชนชั้นล่างที่ยังไม่ได้ชำระล้างความสกปรก ตกอยู่ภายใต้การชักจูงของทักษิณ ชินวัตรแต่ในความเป็นจริง ผู้ประท้วงมีความจริงจังและเอาเป็นเอาตายกับการท้าทายชนชั้นนำที่นำพาประเทศอย่างยิ่ง ความรุนแรงที่เกิดขึ้นก่อนในครั้งนี้ก็คือ การยิงเมื่อวันที่ 10 เมษายน ซึ่งมีทหาร 5 คนและผู้ประท้วงอีก 18 คนเสียชีวิต มันได้ดึงภาพความน่ากลัวของการเข่นฆ่าคนบริสุทธิ์โดยทหารซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2516 2519 และ 2535 แม้ว่าจะเป็นความจริงที่ในครั้งนี้ทหารได้แสดงให้เห็นถึงความอดทนอยู่บ้าง และมันเป็นครั้งแรกที่ทหารใช้วิธีการควบคุมฝูงชนแบบทันสมัยขึ้นจากในอดีต เช่น การฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา กระสุนยาง แต่ฝูงชนปฏิเสธที่จะสลายการชุมนุม แต่ที่เลวร้ายที่สุด เมื่อกองทัพติดอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยพลเรือนหลังช่วงหัวค่ำ ผู้บัญชาการที่ฉลาดย่อมรู้ว่าเขาเป็นส่วนผสมของความหายนะ ทหารยิงเข้าใส่ฝูงชนเพื่อป้องกันตนเอง (พวกเขาพูด) เพื่อสู้กับ “ผู้ก่อการร้าย” ติดอาวุธ จากนั้นทหารต้องหนีเอาชีวิตรอด ละทิ้งการตั้งแถวแห่งเหรียญตราอาชีพทหาร การถูกทำลายศักศรีครั้งนี้เชื่อได้ว่าทหารระดับรองต้องการแก้แค้น ความรุนแรงไม่ได้ถูกผูกขาดโดยการทหารอย่างเดียว ประเทศไทยสามารถเป็นประเทศแห่งความชั่วร้าย อาชญากรรม และการใช้ความยุติธรรมอย่างไม่รอบคอบซึ่งมีให้เห็นมากมาย มือปืนหาง่าย ทหารนอกแถวที่เป็นผู้มีอิทธิพลมีอยู่ดาษดื่น ภายใต้รัฐบาลทักษิณเกิดการวิสามัญฆาตกรรมที่มีผู้เสียชีวิตนับพันคนของผู้ต้องสงสัยเรื่องยาเสพติดและอาชญากรรมอื่นๆ ในช่วงเริ่มต้น คนเสื้อแดงอาจมีภาพของความเป็นผู้ร้ายอยู่บ้าง แต่ตอนนี้คนเสื้อแดงส่วนใหญ่มีระเบียบวินัย พวกเขาตระหนักว่าภาพพจน์มีความหมายมาก ในขณะที่ยังมีคนส่วนน้อยถือไม้ยาวๆ มีด และขวดน้ำมัน ทันใดนั้น วันที่ 10 เมษายน “ชายชุดดำ” ลึกลับก้าวเข้ามาในการต่อสู้ โดยเก็บผู้บัญชาการด้วยปืนไรเฟิลแรงสูง คนไทยบางส่วนโทษว่าเป็นพวก “มือที่สาม” ต้องการกวนความยุ่งยากนี้ให้ขุ่นครั่กมากขึ้น บางส่วนกล่าวอ้างว่าคนพวกนั้นถูกทักษิณจ้างมา หรือบางทีอาจเป็นพวกเลือดร้อนเรียกกำลังเสริมเข้ามาสู้กับกองทัพแล้วก็ทำสำเร็จ ส่วนคำอธิบายของฝ่ายเสื้อแดงนั้น ทหารเป็นผู้ร้ายจากการใช้กระสุนจริงยิงประชาชนที่ไม่มีอาวุธ ในตอนนี้การเคลื่อนไหวมีผู้เสียสละตนเองแล้ว ใบหน้าของผู้เสียชีวิตปรากฎบนโปสเตอร์ และมีบันทึกวีดีโอของผู้เสียชีวิต ฝ่ายกองทัพและฝ่ายผู้ชุมนุมต่างก็มีการกล่าวโทษกันทั้งคู่ และในตอนนี้ หลังจากหลายเดือนผ่านไปกลุ่มเสื้อเหลือง หรือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกลับมาแล้ว คนเหล่านี้เป็นฝ่ายสนับสนุนชนชั้นนำที่มีอำนาจอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีคนส่วนน้อยเป็นการ์ดและเรียกตัวเองว่าเป็นนักรบ ครั้งหนึ่งพวกเขาใช้ปืนและระเบิดกับตำรวจและสะสมไม้กอล์ฟไว้ใช้เป็นอาวุธ วันที่ 18 เมษายน แกนนำพันธมิตรเรียกร้องให้ประกาศกฎอัยการศึก และให้เวลารัฐบาลหนึ่งสัปดาห์ให้สลายการชุมนุม ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาจะสั่งเรียกระดมคนของเขาให้กลับมาบนท้องถนนอีกครั้ง สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เชื่อว่าสันติภาพยังมาไม่ถึง ความหลงละเมออย่างดื้อรั้นของชนชั้นนำทางการเมืองจึงเป็นเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้สันติภาพอยู่ห่างไกล ในปี 2006 ชนชั้นนำร่วมกันขับไล่ทักษิณให้พ้นจากตำแหน่งด้วยการรัฐประหาร ในปี 2008 ขับไล่รัฐบาลที่ภักดีต่อทักษิณ และการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงก็ถือกำเนิดขึ้นมาจากการกระทำต่างๆ เหล่านั้นเอง นายอภิสิทธิ์ ชนชั้นนำที่เหมือนกับชนชั้นนำคนอื่นๆ ผู้ที่คับข้องใจกับคนเสื้อแดง เขาตั้งคำถามว่าคนเหล่านี้ซึ่งมาจากส่วนล่างของสังคมถึงยอมให้มหาเศรษฐีพันล้าน (ของประชาชนทั้งหมด) มาเคลื่อนไหวผลักดันให้เกิดการแบ่งแยกทางชนชั้น? เขาบอกว่า “ทักษิณ” ไม่ควรพูดไปในทางที่จะสร้างความเกลียดชังระหว่างคนรวยกับคนจน สังคมควรจะอยู่ร่วมกันอย่างปกติ ตราบเท่าที่ประชาชนทุกคนทำงานของตนเอง การเมืองไทยอาจเป็นประชาธิปไตยที่ปกครองโดยชนชั้นนำผู้กล่าวอ้างถึงการปกป้องสถาบันกษัตริย์ แต่ในขณะเดียวกัน ตนเองก็สะสมความมั่งคั่งและใช้อภิสิทธิ์มาโดยตลอด การต่อสู้ที่หลักแหลมครั้งนี้ มีการใช้คำที่มีความหมายดูถูกเหยียดหยามตัวเอง คนเสื้อแดงเรียกตัวเองว่า “ไพร่” หรือก็คือ “สามัญชน” คล้ายๆ กับที่คนผิวดำอเมริกันถูกทำให้เป็นคนไม่มีสิทธิมีเสียง กลับมาใช้คำที่ดูถูกตัวเองว่า “นิกเกอร์” แต่ในประเทศไทยนั้นไม่ได้มีประชาชนจำนวนมากมายที่มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกันอย่างสุดขั้ว และก็ไม่มีประชาชนจำนวนมากมายนักที่ยังไม่ได้ชำระล้างความสกปรกอย่างที่กลชนชั้นนำคิด ชาวบ้านเสื้อแดงธรรมดาๆ บางส่วนจบการศึกษาระดับมัธยม มีรถปิ๊กอัพ และมีความคิดที่มีเหตุผลในการตั้งคำถามต่อเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง แม้ว่านโยบายของทักษิณ เช่น หลักประกันสุขภาพทั่วหน้า เงินกู้ชุมชน และอื่นๆ ได้มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ในปัจจุบัน การเคลื่อนไหวของเสื้อแดงเติบโตไปกว่าทักษิณ สิ่งนี้กลายมาเป็นการเปลี่ยนแปลงความคาดหวังที่พุ่งสูงขึ้น และความคาดหวังหลักก็คือการผลักให้ชนชั้นนำกลับไปอยู่ในบทบาทที่เคยเป็นซึ่งดูเหมือนยังเป็นหนทางที่ยาวไกล และในวันนี้ดูเหมือนว่ายากจะหลีกเลี่ยงการนองเลือดบนท้องถนนของกรุงเทพ