โดย ชฎา ไอยคุปต์
"วันนี้ที่รอคอย"
การนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 12 มีนาคม มีความหมายอย่างไร ทำไมถึงต้องนัดชุมนุมในวันนี้
ย้อนกลับไปในวันเดียวกัน เมื่อปี 53 วันที่ "12 มีนาคม" คือ วันที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)หรือกลุ่มคนเสื้อแดง นัดหมายคนสีเดียวกันทั่วทั้งประเทศ เดินทางมายังจุดนัดพบ คือ สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถนนราชดำเนิน การเป่านกหวีดครั้งนั้นเสียงดังไกลพอที่ทุกคนในทั่วทุกภูมิภาคได้ยิน อย่างพร้อมเพรียงก่อนจะเดินทัพเข้ากรุงแบบมืดฟ้ามัวดิน แดงทั้งแผ่นดิน
ถนนทุกสายที่มุ่งเข้าสู่กรุงทั้งรถบัส รถบรรทุก รถกระบะ รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ขนคนมาเต็มคันรถ เสื้อแดง ธงแดงโบกสะบัดท้าแดดลมแรง ไม่หวั่นต่อแสงแดดแผดเผาในตอนกลางวัน มุ่งออกเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน
ภาพชาวไร่ ชาวสวน ชาวนา ทิ้งจอบวางเสียม แม่ค้าพ่อค้า ปล่อยร้างแผงค้า ทิ้งบ้านเรือน หอบข้าวสาร อาหารแห้ง พริก น้ำปลา ปลาร้าฯลฯ ขนมาเป็นเสบียงอาหาร มุ่งหน้าสู่ถนนราชดำเนิน ชูธงประท้วงรัฐบาลที่พวกเขาไม่ได้เลือกมาให้ "ยุบสภา" จัดการ "เลือกตั้งใหม่" หลังจากภารกิจประท้วงรัฐบาลเมื่อปี 52 ไม่ประสบความสำเร็จ ต้องพ่ายแพ้ต่อกำลังเจ้าหน้าที่ กลับบ้านมือเปล่าพร้อมกับความเจ็บปวดทั้งกายและใจ
ในปีถัดมาความคับข้องใจที่สะสมอัดแน่นมาจากปีก่อนหน้า พวกเขามาใหม่ชู ธงเดิม คือ "ยุบสภา-เลือกตั้งใหม่" พร้อมทวง "ความยุติธรรม" หยุด 2 มาตรฐาน ประกาศตัวเป็นคนรากหญ้า เพื่อหาที่ยืนในสังคม แสดงสิทธิและเสียงของพวกเขาในฐานะ "ไพร่" ชนชั้นที่ต่ำสุดในสังคม เพื่อดึงทุกคนในประเทศให้มีสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค เท่าเทียมกัน ตามระบบการปกครองของไทยที่เรียกว่า "ประชาธิปไตย"
ภาพการหลั่งไหลของชาวเสื้อแดง คือ การยืนยันว่าคนเสื้อแดงพร้อมที่จะวางทุกอย่างลง เข้าร่วมขบวนการประท้วง เพื่อเรียกร้องการเมืองการปกครองตามสิทธิ เสรีภาพที่พวกเขาทำได้ ตั้งแต่เช้าวันที่ 12 มีนาคม 53 คนเสื้อแดงทยอยเดินทางเข้ากรุงเทพฯจำนวนมาก เริ่มปรากฏชัดตอนรุ่งอรุณ ผู้คนเคลื่อนมาคนละทิศคนละทาง มาบรรจบกันเป็นคาราวานแถวยาวเหยียดอยู่รอบชานเมือง รอจังหวะเคลื่อนเข้ากรุงพร้อมกัน โดยตะลุยด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ ตั้งสกัดตรวจแถวขบวนผ่านเข้ากรุงหลายๆ จุดเพื่อตรวจค้นอาวุธ
ขบวนรถคนเสื้อแดงจอดแช่ยาวเหยียดบนถนนหลายสาย ค่อยๆ ขยับเข้าประชิดกรุงเทพฯหางแถวยาวออกไปเรื่อยๆ เวลา 10.30 น. ที่ลานโรงร้านอาหารครัววังน้อย ( บัวชม ) มีเนื้อที่กว่า 30 ไร่ติดถนนสายพลโยธิน ติดกับตลาดวังน้อย ถนนพลโยธิน หลัก กม.66 ขาเข้า กทม. เขต อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา มีขบวนรถของคนเสื้อแดงสายอีสาน ที่เคลื่อนพลมาจาก อ.ปากช่อง จำนวนหลายพันคัน มีทั้ง รถกระบะ รถตู้ รถบัสขนาดใหญ่ รถบรรทุก และมีคนเสื้อแดงหลายหมื่นคน มารวมพลอัดแน่นเต็มพื้นที่ รถอีกจำนวนมากยังเข้าไปในพื้นที่ไม่หมด ต้องจอดบนถนนพหลโยธินทั้งในช่องทางคู่ขนาด 2 ช่องจราจร และช่องทางด่านอีก 3 ช่องจราจร พบว่ารถจอดยาวตลอดเส้นทาง ยาวไปจนเกือบถึงเขตรอยต่อ อ.หนองแค จ.สระบุรี
ทางด้านถนนสายเอเชีย กองบังคับการตำรวจภูธร จ.อ่างทองรายงานต่อผู้บังคับบัญชาว่า กลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางผ่านถนนสายเอเชียช่วง จ.อ่างทอง จำนวน 28,200 คน โดยใช้พาหนะรถบรรทุก 6 ล้อ 120 คัน รถตู้ 500 คัน กระบะ 1,500 คัน รถยนต์เก๋ง 2,000 คัน รถบัส 70 คัน และรถจักรยานยนต์ 50 คัน ยังคงทยอยเดินทางเข้ากรุงเทพฯเป็นระยะ นี่คือรายงานเพียงแค่ช่วงเช้า
ในวันเดียวกัน กลุ่มคนเสื้อแดงในเมืองได้กระจายกันไปตามจุดต่างเพื่อแสดงเจตนาขับไล่รัฐบาล ก่อนที่ทัพใหญ่จากต่างจังหวัดจะเข้ามาสมทบ ที่ อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสิน วงเวียนใหญ่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ พร้อมด้วยนายวิภูแถลง วัฒนภูมิไทย แกนนำคนเสื้อแดง ประกอบพิธีบวงสรวงอนุเสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และทำพิธีกรรม "โองการแช่งน้ำแช่งอำมาตย์" ก่อนเริ่มการปราศรัยเพื่อขับไล่รัฐบาล เรียกร้องให้มีการยุบสภา
แยกหลักสี่ นายวีระ มุสิกพงศ์ และนพ.เหวง โตจิราการ แกนนำอาวุโส ร่วมกันบวงสรวงอนุสาวรีย์หลักสี่ ก่อนเคลื่อนขบวนมาปิดประตูทางเข้าหลักของกรมทหารราบที่ 11 มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ อยู่ด้านใน
หน้าสวนลุมพินี นายจรัล ดิษฐาอภิชัย และนางดารุณี กฤตบุญญาลัย แกนนำเสื้อแดง ร่วมกันบวงสรวงอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ก่อนเคลื่อนขบวนเข้าถนนสีลม ผ่านด้านหน้าห้างสยามพารากอนจนถึงถนนนราธิวาส
แยกดินแดง คนเสื้อแดงกว่า 800 คนร่วมกันทำพิธีเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งรัฐบาล ก่อนออกเดินเท้าจากสวนป่าหัว ถนนมิตรไมตรี ดินแดงไปวนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ,แวะมอบดอกกุหลาบให้ทหารที่ ร.1พัน1รอ.ถนนวิภาวดีและเยี่ยมเยียนสถานีโทรทัศน์ ช่อง 11 ก่อนเดินทางกลับไปร่วมตัวกันที่สวนป่า
ขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงจากสายเหนือ-อีสาน-ตะวันออก ยังคงเคลื่อนเข้ากรุงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เช้าจนค่ำไปถึงเช้าของวันใหม่เพื่อไปร่วมชุมนุมใหญ่ ในวันที่ 13 มีนาคม จำนวนคนเสื้อแดงในครั้งนั้นนับว่ามหาศาล
นับตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม-20 พฤษภาคมในปีนั้น คนเสื้อแดงได้ปักเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา จัดการเลือกตั้งใหม่ แต่การชุมนุมของคนเสื้อแดงสร้างความเดือดร้อนรำคาญใจให้กับคนกรุง เพราะเกะกะทางเดิน รกรุงรังถนนหนทางในมหานคร จนรัฐบาลต้องขอพื้นที่คืนและกระชับพื้นที่ ปฏิบัติการโดยทหารนำกำลังพลของกองทัพ รถหุ้มเกราะ อาวุธปืนกระสุนยางไปจนถึงกระสุนจริง เข้าปราบปรามผู้ชุมนุมที่ขัดขืนไม่ยอมออกจากพื้นที่ชุมนุม มีทั้งยิงขู่ ยิงจริง
จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เสียชีวิต 91 ศพ ทั้งทหารและพลเรือน โดยสัดส่วนพลเรือนมากกว่าหลายเท่า และหลายพันคนหวาดผวาเสียงปืนเสียงระเบิด เตลิดกลับบ้านพร้อมกับความเจ็บปวดทั้งกายและใจ พกความคับแค้นใจกลับบ้าน และอีกหลายคนที่ต้องติดคุกเพียงเพราะไปยืนดูเหตุการณ์วันเผาศาลากลาง จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับอิสรภาพใดๆ
ส่วนแกนนำ 7 คนที่ได้เข้ามอบตัวหลังประกาศยุติการชุมนุมได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว หลังจากที่นอนในเรือนจำมานานกว่า 9 เดือน ก็ออกมาตีปีกได้อีกครั้งหลังจากถูกจองจำโดยไม่ได้รับการสวบสวน มาพร้อมกับพลังคนเสื้อแดงที่รอคอยให้การสนับสนุนอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง พร้อมกับคำประกาศอิสรภาพ "พวกเรากลับมาแล้ว"
เสียงนกหวีดดังขึ้นเป็นครั้งที่ 3 เรียกชาวเสื้อแดงจากทุกมุมเมืองทั้งใกล้และไกล กลุ่มคนที่กลับไปรักษาแผลบอบช้ำจากเหตุสลายการชุมนุมพร้อมแล้วที่จะกลับมาใหม่อีกครั้ง หลังแตกพ่ายกลับบ้านถึง 2 ปีซ้อน วันที่ 12 มีนาคม 2554 "วันนี้ที่รอคอย"
วันที่คนเสื้อแดงแข็งแกร่งพอที่จะออกมาตอบโต้คลายความหวาดกลัว และกลับมาใหม่พร้อมกับข้อเรียกร้องที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับคนเจ็บคนตาย ซึ่งชาวรากหญ้าได้ตระหนักรู้แล้วว่าเป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคน ที่ต้องทุ่มเทความสามารถจิตใจ ในการเข้าร่วมกับกิจกรรมทางการเมือง เพราะการเมืองเป็นเรื่องของชีวิตของทุกคน อย่างไม่มีข้อแม้หรือหมายเหตุใดๆ
เบื้องหลังขบวนการเสื้อแดงกลุ่มคนที่ปรากฎในฉากหน้าอาจจะมีเพียงไพร่ คือ ชาวรากหญ้าที่ทนแดดทนฝนอาสาเป็นทัพหน้าออกมาเคลื่อนไหวแสดงตัวอย่างชัดเจน ลึกไปกว่านั้นยังมีคนอีกมากที่เห็นด้วยกับขบวนการเสื้อแดง คอยหนุนอยู่ด้านหลัง ผ่านข้อเขียน กิจกรรม วงเสวนา ต่อสู้เชิงความคิด และยังมีกลุ่มพ่อค้า นายทุน นักศึกษา ฯลฯ อีกมากที่พร้อมจะกระโดดเข้าร่วม รอเพียงจังหวะสุกงอมเต็มที่เท่านั้น
12 มีนาคมนี้ คงได้เห็นกันว่า คำทำนายของ "โสรัจจะ นวลอยู่ "นอสตราดามุสเมืองไทย เตือนไว้ใน ศาสตร์แห่งโหร ปี 2554 ว่า เดือนมีนาคม และเมษายนปี 2554 ให้จับตามองลางร้ายที่จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลและบ้านเมือง เหตุการณ์ทางการเมืองรุนแรงที่จะเกิดขึ้น เหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง มันจะวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา เหมือนปีก่อนๆ ไม่มีผิด เมืองไทยเข้าสู่วิกฤต จะมีประชาชนมาชุมนุมกันเป็นเรือนแสนที่ชุมนุมตามท้องถนน แม้รัฐบาลประกาศห้ามชุมนุมก็ไม่ฟังกัน
"เกิดขึ้นจากความโกรธแค้นและรู้ทันความเคลือบแคลงของรัฐบาล" ประเด็นนี้ไม่ใช่หมอดูก็ทำนายได้แค่ลืมตามองเท่านั้นเอง