WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, March 11, 2011

ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคดีอุ้ม "ทนายสมชาย" เหตุพยานหลักฐานไม่ชัด

ที่มา ประชาไท

ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แก้ยกฟ้อง คดีอุ้ม “ทนายสมชาย” หลังญาติแจ้ง พ.ต.ต.เงิน ทองสุก จำเลยที่ 1 สาบสูญ ชี้คดีนี้ยังไม่ชัดว่า ทนายสมชายบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแล้วหรือไม่ ส่วนคำให้การพยานยังสับสน ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ พ.ต.ต.เงิน และให้ออกหมายขังไว้ระหว่างฎีกา

เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 11 มี.ค. ศาลอาญา ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 และนางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม และบุตรของนายสมชาย ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ต.เงิน ทองสุก อดีต สว.กอ.รมน.ช่วยราชการกองปราบปราม, พ.ต.ท.สินชัย นิ่มปุญญกำพงษ์ อายุ 42 ปี อดีตพนักงานสอบสวน กก.4 ป., จ.ส.ต.ชัยเวง พาด้วง อายุ 40 ปี อดีต ผบ.หมู่งานสืบสวน แผนก 4 กก.2 บก.ทท., ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต อายุ 38 ปี อดีตเจ้าหน้าที่ธุรการ กก.4 ป. และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน อายุ 45 ปี อดีตรอง ผกก.3 ป. เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ เพื่อกระทำผิด และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย จากกรณีการหายตัวไปของนายสมชาย เมื่อปี 2546

โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก พ.ต.ต.เงิน ทองสุก เป็นเวลา 3 ปี ฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย และให้ยกฟ้องจำเลยอื่น วันนี้อัยการโจทก์ และโจทก์ร่วมที่ 1, 3 รวมทั้งจำเลยที่ 2-5 เดินทางมาศาล ส่วนจำเลยที่ 1 หลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา ศาลได้ออกหมายจับไว้แล้ว พร้อมสั่งปรับนายประกัน 1.5 ล้านบาท

ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลได้แถลงว่า คดีนี้ นายประกัน ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งปรับนายประกัน 1.5 ล้านบาท โดยโต้แย้งว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้หลบหนี แต่เป็นบุคคลสาบสูญ จึงแยกสำนวนส่งให้ศาลอุทธรณ์ เพื่อมีคำสั่งต่อไป ต่อมาศาลอ่านคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ว่า ศาลได้ประชุมตรวจสำนวนแล้วเห็นว่าคดีนี้จำเลยได้ยื่นคัดค้านการขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของโจทก์ร่วมที่ 1 และ 3 จึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมที่ 1 และ 3 มีสิทธิขอเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้หรือไม่ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ยังไม่ชัดเจนว่า นายสมชาย นีละไพจิตร บาดเจ็บหรือเสียชีวิตแล้วหรือไม่ แม้โจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยาและโจทก์ร่วมที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรโดยชอบตามกฎหมาย จึงไม่ใช่ผู้เสียหายจัดการแทนในคดีและไม่มีสิทธิเป็นโจทก์ร่วม

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.5 (2) ได้มีประเด็นต่อมาวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2-4 มีความผิดตามฟ้องหรือไม่ศาลพิเคราะห์แล้วได้ข้อเท็จจริงว่า เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น.วันที่ 12 มี.ค. 47 นายสมชาย นีละไพจิตร ได้ขับรถยนต์ฮอนด้า ซีวิค สีเขียว ทะเบียน ภง 6768 กรุงเทพมหานคร ไปพบเพื่อนที่โรงแรมชาลีน่า ย่านรามคำแหง 65 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ

ต่อมาเวลาประมาณ 20.15 น.นายสมชาย ได้ออกจากโรงแรมเพื่อพักกับเพื่อนที่อยู่บริเวณแยกลำสาลี จากนั้นนายสมชายได้หายตัวไป โดยวันรุ่งขึ้นพบรถยนต์ซีวิคคันดังกล่าวของนายสมชายจอดอยู่ที่สถานีขนส่งหมอชิต ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวบพยานหลักฐาน การใช้โทรศัพท์จนสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ซึ่งทั้งหมดได้เข้ามอบตัวและให้การปฏิเสธแต่คำเบิกความของพยานจำนวน 3 ปากให้การว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนเห็นรถยนต์เก๋งสองคันจอดอยู่ริมถนนรามคำแหง

จากนั้นมีบุคคล3-5 คนฉุดกระชากนายสมชายขึ้นรถเก๋งคันหลังไป แต่ไม่เห็นใบหน้าชัดเจน ประกอบกับเอกสารการใช้โทรศัพท์ติดต่อของจำเลยที่ 2-5 คนที่ได้มาจากบริษัทโทรศัพท์เคลื่อนนั้นเป็นเพียงสำเนา ไม่อาจใช้รับฟังในชั้นศาลได้ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ให้พิพากษายืนยกฟ้องจำเลยที่ 2-5 ตามศาลชั้นต้น

นอกจากนี้มีประเด็นให้วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยคดีนี้จำเลยที่ 1เคยอุทธรณ์ไว้ว่าไม่มีพยานเห็นว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้องศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน แม้ปรากฎว่ามีแสงไฟจากเสาไฟฟ้า มองเห็นสลัวได้ในระยะประมาณ 10 เมตร รวมทั้งแสงไฟจากริมรั้วบ้าน และแสงไฟจากรถยนต์ที่สัญจรไปมา แต่พยานให้การว่าเห็นชาย 3-5 คน ผลักดันชาย อายุประมาณ 50 ปี รูปร่างไม่สูงใหญ่ สวมเสื้อเชิ้ต กางเกงขายาวให้ขึ้นรถเก๋ง แต่พยานให้การว่ามองเห็นจากด้านข้าง รูปร่างคล้ายจำเลยที่ 1 อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ไม่ได้ยืนยันว่าเป็นจำเลยที่ 1 คำให้การของพยานยังสับสน จึงมีเหตุความสงสัยตามสมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลยที่ 1 อุทธรณ์จำเลยที่ 1 ฟังขึ้น จึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 แต่คดีนี้ศาลได้ออกหมายจับจำเลยไว้แล้ว จึงให้ออกหมายขังจำเลยที่ 1 ไว้ระหว่างฎีกา ส่วนจำเลยอื่นพิพากษายืนยกฟ้องตามศาลชั้นต้น

ด้านนางอังคณา กล่าวด้วยเสียงนิ่งเฉยว่า ตนไม่เห็นด้วยกับศาลอุทธรณ์ในเรื่องการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน และตนเห็นว่ามีพยานบางปากไม่ได้รับการคุ้มกัน อาจจะมีความกลัวจนส่งกระทบต่อคดี ตนเกรงว่า ต่อไปคดีลักษณะเดียวกันนี้อาจจะถูกยกฟ้องก็ได้ ตนจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายต่อไป