ที่มา ประชาไท
ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แก้ยกฟ้อง คดีอุ้ม “ทนายสมชาย” หลังญาติแจ้ง พ.ต.ต.เงิน ทองสุก จำเลยที่ 1 สาบสูญ ชี้คดีนี้ยังไม่ชัดว่า ทนายสมชายบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแล้วหรือไม่ ส่วนคำให้การพยานยังสับสน ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ พ.ต.ต.เงิน และให้ออกหมายขังไว้ระหว่างฎีกา
เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 11 มี.ค. ศาลอาญา ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 และนางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม และบุตรของนายสมชาย ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ต.เงิน ทองสุก อดีต สว.กอ.รมน.ช่วยราชการกองปราบปราม, พ.ต.ท.สินชัย นิ่มปุญญกำพงษ์ อายุ 42 ปี อดีตพนักงานสอบสวน กก.4 ป., จ.ส.ต.ชัยเวง พาด้วง อายุ 40 ปี อดีต ผบ.หมู่งานสืบสวน แผนก 4 กก.2 บก.ทท., ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต อายุ 38 ปี อดีตเจ้าหน้าที่ธุรการ กก.4 ป. และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน อายุ 45 ปี อดีตรอง ผกก.3 ป. เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ เพื่อกระทำผิด และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย จากกรณีการหายตัวไปของนายสมชาย เมื่อปี 2546
โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก พ.ต.ต.เงิน ทองสุก เป็นเวลา 3 ปี ฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย และให้ยกฟ้องจำเลยอื่น วันนี้อัยการโจทก์ และโจทก์ร่วมที่ 1, 3 รวมทั้งจำเลยที่ 2-5 เดินทางมาศาล ส่วนจำเลยที่ 1 หลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา ศาลได้ออกหมายจับไว้แล้ว พร้อมสั่งปรับนายประกัน 1.5 ล้านบาท
ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลได้แถลงว่า คดีนี้ นายประกัน ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งปรับนายประกัน 1.5 ล้านบาท โดยโต้แย้งว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้หลบหนี แต่เป็นบุคคลสาบสูญ จึงแยกสำนวนส่งให้ศาลอุทธรณ์ เพื่อมีคำสั่งต่อไป ต่อมาศาลอ่านคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ว่า ศาลได้ประชุมตรวจสำนวนแล้วเห็นว่าคดีนี้จำเลยได้ยื่นคัดค้านการขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของโจทก์ร่วมที่ 1 และ 3 จึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมที่ 1 และ 3 มีสิทธิขอเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้หรือไม่ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ยังไม่ชัดเจนว่า นายสมชาย นีละไพจิตร บาดเจ็บหรือเสียชีวิตแล้วหรือไม่ แม้โจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยาและโจทก์ร่วมที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรโดยชอบตามกฎหมาย จึงไม่ใช่ผู้เสียหายจัดการแทนในคดีและไม่มีสิทธิเป็นโจทก์ร่วม
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.5 (2) ได้มีประเด็นต่อมาวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2-4 มีความผิดตามฟ้องหรือไม่ศาลพิเคราะห์แล้วได้ข้อเท็จจริงว่า เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น.วันที่ 12 มี.ค. 47 นายสมชาย นีละไพจิตร ได้ขับรถยนต์ฮอนด้า ซีวิค สีเขียว ทะเบียน ภง 6768 กรุงเทพมหานคร ไปพบเพื่อนที่โรงแรมชาลีน่า ย่านรามคำแหง 65 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ
ต่อมาเวลาประมาณ 20.15 น.นายสมชาย ได้ออกจากโรงแรมเพื่อพักกับเพื่อนที่อยู่บริเวณแยกลำสาลี จากนั้นนายสมชายได้หายตัวไป โดยวันรุ่งขึ้นพบรถยนต์ซีวิคคันดังกล่าวของนายสมชายจอดอยู่ที่สถานีขนส่งหมอชิต ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวบพยานหลักฐาน การใช้โทรศัพท์จนสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ซึ่งทั้งหมดได้เข้ามอบตัวและให้การปฏิเสธแต่คำเบิกความของพยานจำนวน 3 ปากให้การว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนเห็นรถยนต์เก๋งสองคันจอดอยู่ริมถนนรามคำแหง
จากนั้นมีบุคคล3-5 คนฉุดกระชากนายสมชายขึ้นรถเก๋งคันหลังไป แต่ไม่เห็นใบหน้าชัดเจน ประกอบกับเอกสารการใช้โทรศัพท์ติดต่อของจำเลยที่ 2-5 คนที่ได้มาจากบริษัทโทรศัพท์เคลื่อนนั้นเป็นเพียงสำเนา ไม่อาจใช้รับฟังในชั้นศาลได้ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ให้พิพากษายืนยกฟ้องจำเลยที่ 2-5 ตามศาลชั้นต้น
นอกจากนี้มีประเด็นให้วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยคดีนี้จำเลยที่ 1เคยอุทธรณ์ไว้ว่าไม่มีพยานเห็นว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้องศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน แม้ปรากฎว่ามีแสงไฟจากเสาไฟฟ้า มองเห็นสลัวได้ในระยะประมาณ 10 เมตร รวมทั้งแสงไฟจากริมรั้วบ้าน และแสงไฟจากรถยนต์ที่สัญจรไปมา แต่พยานให้การว่าเห็นชาย 3-5 คน ผลักดันชาย อายุประมาณ 50 ปี รูปร่างไม่สูงใหญ่ สวมเสื้อเชิ้ต กางเกงขายาวให้ขึ้นรถเก๋ง แต่พยานให้การว่ามองเห็นจากด้านข้าง รูปร่างคล้ายจำเลยที่ 1 อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ไม่ได้ยืนยันว่าเป็นจำเลยที่ 1 คำให้การของพยานยังสับสน จึงมีเหตุความสงสัยตามสมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลยที่ 1 อุทธรณ์จำเลยที่ 1 ฟังขึ้น จึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 แต่คดีนี้ศาลได้ออกหมายจับจำเลยไว้แล้ว จึงให้ออกหมายขังจำเลยที่ 1 ไว้ระหว่างฎีกา ส่วนจำเลยอื่นพิพากษายืนยกฟ้องตามศาลชั้นต้น
ด้านนางอังคณา กล่าวด้วยเสียงนิ่งเฉยว่า ตนไม่เห็นด้วยกับศาลอุทธรณ์ในเรื่องการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน และตนเห็นว่ามีพยานบางปากไม่ได้รับการคุ้มกัน อาจจะมีความกลัวจนส่งกระทบต่อคดี ตนเกรงว่า ต่อไปคดีลักษณะเดียวกันนี้อาจจะถูกยกฟ้องก็ได้ ตนจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายต่อไป