ที่มา ประชาไท “เรียนทุกท่านที่คิดว่ารักบ้านเมืองด้วยใจบริสุทธิ์ ขออภัยหากส่งซ้ำหรือรบกวน แต่เพื่อแก้ปัญหาชาติิอย่างยั่งยืน ด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่ได้เข้าข้างใคร แต่ประชาชนที่ไปชุมนุมถูกกรอกหูทุกวันเขาย่อมมีความเชื่อของเขา พวกเราปัญญาชน แปลว่ามีสมองคิดว่าทำอะไรแล้ว เกิดมรรคผลต่อบ้านเมืองอย่างไร มิได้เป็นพวกใครทั้งสิ้น ยุบสภา ไม่ยุบสภา เลือกตั้งใหม่กี่ครั้ง ไม่ได้ทำให้ความเป็นอยู่ประชาชนดีขึ้น โดยเฉพาะระบบการศึกษาที่ทำให้ประชาชนในชาติฉลาด ยืนบนขาตนเองได้ แต่ทุกรัฐบาลไม่ได้แก้ปัญหาให้เด็ดขาดรวดเร็ว ทั้งที่ปัญญาชนที่มีความรู้ โดยเฉพาะพวกจบการศึกษาจากต่างประเทศ น่าจะเข้าใจดีว่า มันคือรากฐานการแก้ไขปัญหาทุกอย่าง รวมทั้งประชาธิืปไตยที่เป็นจริงได้ประชาชนต้องมีการศึกษา รู้เท่าทัน กลุ่มนักเคลื่อนไหวที่คิดว่าตนเองรักชาติกลับนิ่งเฉย หลายอย่างประชาชนทั้งชาติ เดือดร้อน เช่น ความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินฝากและกู้สูงขึ้น ใครเดือดร้อน นี่ก็ประกาศจะขึ้นอีก เวลาขึ้น ดอกเบี้ยเงินฝากจะขึ้นน้อยกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ ตอนนี้ต่างกัน 5-6 %ขณะที่ต่างประเทศที่เจริญแล้วไม่เกิน 1-2% นี่ก็ว่า ส.ค. นี้จะขึ้นอีก กำไรแบงค์ตอนนี้ก็สูงขึ้น โรงกลั่นน้ำ้มันกำไรสูงขึ้น เยอะเเยะ มีแต่คนรวยที่มีหุ้น ก็สบายใจ แต่คนจนต้องหาเงินที่หายาก มาจ่ายแพง พวกคุณเคยออกมาเรียกร้องให้เขาลดราคาลงบ้างไหม ค่าไฟฟ้าเอฟทีขึ้นเอาขึ้นเอา ทั้งที่มันควรจะลดลง เพราะราคาน้ำมันลดลงตั้งเยอะแยะ พวกคุณเคยออกมาเรียกร้องไหม ตอนนี้ก็หมกเม็ดเองเงินกองทุนไปพยุงทั้งๆที่ควรลดราคาก๊าซลง รัฐบาลอภิสิทธิ์ทำอะไรอยู่ ปล่อยให้ ปตท ผูกขาดกำไรค่าก๊าซสะดือปลิ้น เงินกองทุนก็เอาไปโฆษณาในสื่อมากมายเพือ???? รู้กันอยู่ ราคาสินค้าขึ้นเอาขึ้นเอา พวกคุณเคยออกมาเรียกร้องไหม ราคาประเมินที่ดินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกคุณเคยเรียกร้องบ้างไหม มีแต่เล่นงานทักษิณ ว่าเลวคนเดียว แล้วที่นักการเมืองคนอื่นไม่เคยโกงใช่เปล่า สปก ปรส กล้ายาง คลองด่าน GT 200เรือเหาะ ม.นอกระบบ เครือญา่ติชินวัตร ก็รวยสะดือปลิ้น ไม่เห็นเอาเรื่อง มันอะไรกันประเทศนีุ้ ไม่ได้เข้าข้างใคร แต่เห็นว่าบ้านเมืองไม่มีมาตรฐานเดียวกัน ชนชั้นยังมีอยู่ อยากถามจริงว่าถ้าทักษิณตายหรือติดคุก จะไม่้มีคอรัปชั่น ประชาชนจะถูกปกครองอย่างมีความสุขหรือเปล่า ปัญหาทุกอย่างจะได้รับการแก้ไขไหม คนโกงจะไม่มีในแผ่นดินใช่เปล่า เคยเรียกร้องไหมให้ยกเลิกระบบแอดมิชชั่นที่กินเงินเด็กและผู้ปกครอง ม .นอกระบบที่ขึ้นค่าเทอมแพงๆ เคยเรียกร้องไหมให้ปรับระบบการศึกษา ไม่ใช่ให้เรียนมากมาย จนยิ่งเรียนยิ่งโง่ลง เด็กไทยเราคืออนาคตของชาติ เคยบ้างไหม ที่ลงมาช่วยกันเรียกร้องแก้ไข ดิฉันอยากให้ประเทศเราขับเคลื่อนโดยหันหน้าเข้าหากัน มองไปข้างหน้าว่าควรเรียกร้องอะไร แก้ไขอะไรในอนาคต......... ในเหตุการณ์ขณะนี้ ไม่อยากให้แกนนำทุกฝ่ายใช้ประชาชน ข้าราชการผู้น้อย จะต้องพลีชีพตายเพราะข้างใดข้างหนึ่งที่ีสุดท้ายประชาชนไม่ได้อะไรเลย มีแต่คำกล่าวสวยหรู วีระบุรุษ วีระสตรี แต่ความเป็นอยู่ของประชาชนไม่ได้ดีขึ้น เมื่อไม่นานมานี้ ก็เชิญชวนประชาชนออกมาเพือเรียกร้อง การเมืองใหม่ ไปถึงไหน แล้วละ นอกเสียจาก มีรัฐบาลใหม่คือ ปชป ขึ้นมาเท่านั้น เป็นไงละ คุณสุริยะใส และแกนนำพันธมิตร ทำการเมืองใหม่ไปถึงไหนแล้ว นี่อีก นปช .เรียกร้องประชาธิปไตย ที่คือการเลือกตั้ง (โกงๆ ซื้อเสียงฯ ) สุดท้าย ประชาชนที่เข้าไปถูกหลอก (บางคนก็ไปรับเงินมีแน่ ๆ แต่ไปด้วยใจก็มี ) เวลาเขียนแบบนี้ถูก ด่าทุกที แต่ก็ยินดีรับคะ.... ..........................
เพื่อไทย
Sunday, April 25, 2010
ใบตองแห้ง...ออนไลน์: คนดีผิดระบอบ
เพื่อนฝูงหลายคนสะใจ หลายคนต่อว่า ที่ผมโต้แย้งข้อเขียนของหมอประเวศ ขอเรียนว่าผมเนี่ยแซว “ลัทธิประเวศ” เพราะไม่ยอมรับแนวคิด แต่ส่วนตัวยังเคารพนับถือว่าท่านเป็น “คนดี” ที่คิดและทำเพื่อส่วนรวม (แต่ผลออกมาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
เป็น “คนดี” อย่างที่ผมไม่อาจเปรียบเทียบได้แม้กระผีก เพราะผมเป็นแค่คนธรรมดา มีเลอะเทอะ มีเหลวไหล มีด้านมืด และไม่ได้คิดจะทุ่มเทอะไรมากมาย ถือตนเป็นแค่ “เสรีชน” คนหนึ่ง
แต่ประสบการณ์ชีวิตบอกผมว่า “คนดี” ไม่ใช่จะคิดและมองปัญหาถูกต้องเสมอไป “ความดี” ไม่ใช่มนต์คาถาที่จะปัดเป่าทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะคนดี ก็มีไม่น้อยที่อยู่แต่โลกของตัว ไม่เข้าใจการแก้ปัญหาที่เป็นจริง และมีแนวโน้มสูงที่จะใช้อัตวิสัยมาตัดสิน เพราะเชื่อว่าตนเป็น “คนดี”
ชีวิตผมโชคดี ได้พบ “คนดี” อยู่มากมาย ตั้งแต่เถ้าแก่เปลวที่เป็นคนธัมมะธัมโม รักความถูกต้อง รักและเอาใจใส่ลูกน้อง (ไทยโพสต์น่ะเงินเดือนสวัสดิการต่ำกว่าชาวบ้านเยอะ แต่พนักงานอยู่มา 13 ปีเพราะ “ใจ” ที่ทุกคนให้กับ “ป๋า”) ผมเป็นเจ้ากรมอิสระ ทำงานกับใครยาก แต่ก็อยู่กับเถ้าแก่เปลวได้ร่วม 15 ปีเมื่อนับรวมสยามโพสต์ ถ้าไม่มีความเคารพรักส่วนตัว คงอยู่ไม่ได้นานปานนั้น (นานที่สุดที่เคยทำงานกับใครมา) กระทั่งวันนี้ ใครเอาผมไปตัดหัวคั่วแห้งที่ไหน ก็จะยังยืนกรานว่าเถ้าแก่เปลวเป็นคนดี เป็นคนที่ผมเคารพ ...แต่ใครเอาผมไปตัดหัวคั่วแห้งที่ไหน ผมก็จะยังยืนกรานอีกเช่นกันว่า วันนี้เถ้าแก่เปลวท่วมไปด้วยโมหะจริต
ผมน่ะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพันธมิตร แต่คนที่รักและคบหากลับเป็นพันธมิตรเสียเป็นส่วนใหญ่ ว่างๆ ก็ไปกินข้าวกับพี่เปี๊ยกและเพื่อนพ้อง “ซ้ายเสื้อเหลือง” ก็เฮฮาปราศรัยกันดี เพราะผมไม่ใช่คนชอบทะเลาะ ผมรักและนับถือพี่เปี๊ยก แต่โต้กันได้ตลอด คุยกันครั้งหลังสุด พี่เปี๊ยกบอกว่าผมกับแกมีความคิดบางส่วนทับซ้อนกัน บางส่วนก็โต้แย้งกัน ใช่เลย
นี่ตรงข้ามเลยนะ เพราะผมไม่เคยไปนั่งกินข้าวกับแกนนำเสื้อแดง ที่รู้จักก็มีพี่จรัลคนเดียว คนอื่นไม่เคยคบ
อ.สมเกียรติก็รักนับถือ เพราะแกต่อสู้เพื่อคนจนมาตลอดชีวิต (เพียงแต่เผลอมาสู้เพื่ออำมาตย์แป๊บเดียว คนจนหายไปในม็อบเสื้อแดงหมด) ไม่เคยต้องการทรัพย์ศฤงคารหรือชื่อเสียงลาภยศ (ออกจากราชการคืนบ้านพักอาจารย์ แกต้องมาอาศัยบ้าน อ.โต้งอยู่) เมื่อ 4 ปีก่อนสมัยม็อบใหม่ๆ ไปนั่งสัมภาษณ์ที่รอแยล มีพันธมิตรแอ๊บแบ๊วมารอขอลายเซ็น ตื๊อมากนักแกรำคาญไล่ตะเพิดไปเลย ผมงี้หัวร่อกลิ้ง ไม่รู้จัก อ.สมเกียรติเสียแล้ว
แต่รักๆ นี่ละครับ ผมก็บอกว่า อ.สมเกียรติน่ะแกเป็นอนาธิปไตย
ไม่ใช่แค่แกนนำ แต่มวลชนพันธมิตรที่เป็นแฟนไทยโพสต์ ก็รักกันดี อย่างเช่นหนูอ้อยที่ตามมาราวีถึงประชาไท (ฮา) ส่งหนังสือมาให้ ส่งเทปเพลงมาให้ ซื้อเสื้อมาฝาก (193 วันพันธมิตร ใครจะกล้าใส่) ขอประกาศไว้เลยว่าถ้าแต่งงานเมื่อไหร่ ไม่แจกการ์ด โป้ง!
แทบทุกคนนะครับ ผู้อ่านที่เป็นขาประจำในคอลัมน์ว่ายทวนน้ำ เป็นคนที่มีจิตใจดีงาม รักความถูกต้องเป็นธรรม หลายท่านก็มีความผูกพัน ติดต่อกันจนถึงวันนี้ น้องบางคนเป็นชาวสันติอโศก (193 วันของแท้) พอรู้ว่าผมเลิกเขียนก็มีน้ำใจมาเยี่ยมถึงบ้าน
ซึ่งจะว่าไป ผมก็แทบไม่รู้จักมวลชนเสื้อแดงตัวเป็นๆ นอกจากขึ้นแท็กซี่
คุณหมอตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ก็เป็นคนดีอีกคนที่ผมนับถือและรักน้ำใจ แม้จะยืนยันในความเห็นต่าง หมอตุลย์เริ่มต้นจากส่งจดหมายมาถกกัน โทรคุยกัน หลังรัฐประหารมีช่วงหนึ่งที่รัฐมนตรีศึกษามีนโยบายเอามหาลัยออกนอกระบบ หมอตุลย์คัดค้าน ผมสนับสนุน กระทั่งไปสัมภาษณ์ จากนั้นก็ติดต่อกันมาตลอด กระทั่งคนใกล้ตัวป่วยผมยังพาไปปรึกษา หมอตุลย์ก็แนะนำแพทย์ที่เชี่ยวชาญให้
นี่ไม่ใช่ว่ามีน้ำใจส่วนตัวจึงเห็นว่าเป็นคนดี เปล่า การดูคนว่าดีไหมอย่าดูที่เขาปฏิบัติกับเรา แต่ดูที่เขาปฏิบัติกับคนอื่น ผมดูหมอตุลย์ปฏิบัติกับคนไข้อย่างเอาใจใส่ ไม่ว่ายากดีมีจนมาจากไหน ยิ่งรู้จักก็ยิ่งเห็น นี่เป็นสิ่งที่บุคลากรใน ร.พ.จุฬาฯ รู้ดี ลูกชายหมอเหวงก็ลูกศิษย์หมอตุลย์ น่าจะรู้จักดี
ผมยังชื่นชมหมอตุลย์ที่เคลื่อนไหวมีบทบาทมา 4 ปี โดยไม่เคยได้ประโยชน์อะไร ไม่ได้เป็น ส.ว.ลากตั้ง ไม่ได้เป็นองค์กรอิสระ ไม่ได้เป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ไม่ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งเป็นพิเศษ หนำซ้ำยังแทบไม่ได้ไปทำคลินิก ดูเหมือนเคยเล่าให้ฟังว่าไปลงเรียนต่อไว้ แต่มัวเคลื่อนไหวจนเลิกเรียน
แล้วหมอตุลย์ก็ไม่ใช่พวกที่ด่าทักษิณอยู่บนหอคอยงาช้าง เพราะแกลุยไปกับมวลชน เช่นตอนพันธมิตรเดินไปมัฆวาฬ จุดเริ่มต้น 193 วัน หมอตุลย์ก็เดินไปกับม็อบ พอมีเรื่องตีกัน หมอตุลย์ก็เข้าไปปฐมพยาบาลจนเลือดเปื้อนไปทั้งตัว (ตอนไปทวงประสาทพระวิหาร แล้วเกิดเลียะพะกัน ดูเหมือนหมอตุลย์ก็ได้รักษาคนเจ็บอีก)
นี่คือความนับถือ ชื่นชม ในขณะที่ผมก็ยังถกกับหมอตุลย์อย่างร้อนแรง ญาติโกโหติกาตกใจกันเป็นแถวที่ผมโต้หมอตุลย์ในว่ายทวนน้ำ ทั้งที่เพิ่งไปหาหมอมาหยกๆ แต่ความดีก็คือความดี ความเห็นก็คือความเห็น ไม่ว่าอย่างไร หมอตุลย์กับผมก็เห็นต่างกันแทบจะสุดขั้ว ลองคิดดู ระหว่างคนที่เดินไปบ้านสี่เสาเรียกร้องให้รัฐประหาร กับคนที่ลงรูปชามก๋วยเตี๋ยวประชดรัฐประหาร (และตอนนี้ก็ให้กำลังใจอภิสิทธิ์ ไม่ยุบสภา กับเรียกร้องให้อภิสิทธิ์รับผิดชอบ และยุบสภา)
ด้วยความที่หมอตุลย์เป็นคนดี การเคลื่อนไหวของหมอตุลย์จึงมีพลัง คนรู้จักกันที่ดูอยู่ห่างๆ ยังบอกผมว่าดูแกพูดจาอะไรจริงใจดีนะ เมื่อเปรียบเทียบกับภาพแกนนำม็อบเสื้อแดงส่วนใหญ่แล้วหมอตุลย์กินขาด แต่นี่แหละที่เป็นปัญหา คนเรามักเชื่อว่าถ้าใครเป็นคนดี บริสุทธิ์ ไม่มีผลประโยชน์ แล้วจะต้องคิดอะไรถูกมองอะไรถูกเสมอ ซึ่งผมว่าไม่ใช่
ถ้าเราอยู่ในระบอบประชาธิปไตยปกติ ประชาธิปไตยที่พัฒนา คนอย่างหมอตุลย์จะเป็นบุคคลที่ล้ำค่า แต่ไม่ใช่ระบอบที่เป็นอยู่นี้ ระบอบที่หมอตุลย์พยายามจะปกป้อง
หมอตุลย์คือตัวแทนคนชั้นกลางที่เกลียดนักการเมือง ซื้อเสียง คอรัปชั่น ลุกขึ้นมาไล่ทักษิณโดยบริสุทธิ์ใจ ซึ่งถูกต้อง แต่หมอตุลย์ก็คือตัวแทนคนชั้นกลางที่ไม่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย กลับไปเชื่อมั่นในตัวบุคคลบางคน บางองค์กร บางสถาบัน ว่าเป็นที่พึ่งในคุณธรรมความดีงาม ที่จะเอามากวาดล้างความเลวร้ายของการเมือง หมอตุลย์จึงเดินไปบ้านสี่เสา เรียกร้องให้รัฐประหาร หวังจะเอาการยึดอำนาจ ใช้อำนาจ แทรกแซง ครอบงำ สร้าง “คุณธรรม” ขึ้นในสังคมไทย ซึ่งกลายเป็นก้าวที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง
ขอเรียนว่านี่แหละครับที่เขาเรียกว่าเผด็จการ เผด็จการทุกแห่งในโลกก็เริ่มต้นด้วยความเชื่อเรื่องคุณธรรม ความมั่นคง ความรักชาติบ้านเมือง ไม่ว่าฮิตเลอร์ มุสโสลินี หรือเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ ล้วนเชื่อในเรื่องการ “ใช้อำนาจเป็นธรรม” ก่อนจะก้าวไปสู่การใช้อำนาจไม่เป็นธรรม
ซึ่งตอนนี้เราก็เห็นกันแล้ว พันธมิตร ที่อ้างว่าเป็น “พลังศีลธรรม” หรือกลุ่มคนเสื้อหลากสี (ส่วนใหญ่ก็มวลชนพันธมิตรน่ะแหละ) อ้างความชั่วดีมาปลุกให้ปราบปรามม็อบเสื้อแดงที่เห็นต่าง หวังใช้อำนาจ และความรุนแรง คือกองทัพ กฎอัยการศึก เข่นฆ่าจับกุมคุมขังฝ่ายตรงข้าม
ถามว่านี่หรือคือวิถีประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยต้องเอาชนะกันด้วยการต่อสู้ทางความคิด ด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่กำลัง
พูดไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะคนชั้นกลางที่เคยบอกว่าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ได้ทิ้งวิถีประชาธิปไตยไปแล้ว เพราะเชื่อว่าตนเองสามารถมีอำนาจร่วมกับชนชั้นนำ ขณะที่กดหัวคนชั้นล่าง คนเหนือคนอีสาน แต่คนกรุงก็ยังมีสิทธิมีเสียงได้อยู่ (ที่จริงต้องบอกว่าไม่ใช่ระบอบอำมาตย์แบบดั้งเดิม แต่เป็นอำมาตยาที่เป็นพันธมิตรกับคนชั้นกลาง)
แต่สิ่งสำคัญกว่าที่ต้องถามคือ “ศีลธรรม” “จริยธรรม” “ความดีงาม” ที่คนชั้นกลางเชิดชูมาตลอดในการต่อสู้กับ “ทุนสามานย์” นั้น ท้ายที่สุดแล้วเหลืออะไรอยู่บ้าง ศีลธรรมจรรยา ความดีงามทั้งหมด ถูกแปรรูปให้เป็นเพียงความ “เกลียดทักษิณ” ที่เหลือนอกนั้นโยนทิ้งไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมนุษยธรรม ความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ ความยุติธรรม ความเป็นธรรม ถูกตีกรอบเลือกข้างเป็นพวกเขาพวกเรา ถ้ามันเป็น “พวกทักษิณ” แล้วไม่มีเหลือให้แม้แต่น้อยนิด
โอเค ความเห็นอกเห็นใจคนจนยังมี ยังทอดผ้าป่าหนังสือบริจาคห้องสมุดในชนบทแดนกันดาร แต่ขับรถโฟร์วีลไดรว์ไปถึง พบว่าหมู่บ้านนั้นปักธงแดง เผลอๆ อาจเผาหนังสือทิ้งดีกว่า
คุณธรรมความดีงามของคนชั้นกลางถูกชักนำให้คับแคบ ด้วยทัศนะที่มองโลกเป็นสีขาวดำ พวกเราทำอะไรถูกหมด พวกมันทำอะไรผิดหมด ถ้าเราผิดบ้าง (เช่นยึดสนามบินทำให้คนมากมายเดือดร้อน) ก็ให้อภัยได้ เพราะเราทำเพื่อเป้าหมายสูงสุด คือกำจัดความชั่วร้าย
ขอโทษ คนชั้นกลางลืมไปว่าในระหว่างกระบวนการ “กำจัดความชั่วร้าย” นั้น ตัวเองก็พลัดตกลงไปในโมหะจริต โทสะจริต จนบางครั้งก็บอกไม่ได้ว่าใครชั่วร้ายกว่าใคร
คุณธรรมความดีงามของคนชั้นกลางจึงขัดกันเอง ระหว่างตัวตนที่แท้จริงกับการต่อสู้ทางการเมือง หมอตุลย์ที่ผมรู้จัก ไม่ใช่คนที่จะปิติยินดีเมื่อเห็นใครต้องบาดเจ็บล้มตาย หมอตุลย์ที่ผมรู้จัก เป็นคนที่มีเมตตาต่อทุกคน หมอตุลย์ที่ผมรู้จัก ไม่ใช่คนที่เปี่ยมด้วยความเกลียดชังจนจะทำร้ายใครได้ ผมกล้าท้าว่าต่อให้ม็อบเสื้อแดงบาดเจ็บมา หมอตุลย์ที่ผมรู้จัก ก็ต้องช่วยรักษา
แต่เมื่อหมอตุลย์กลายมาเป็นผู้นำม็อบหลากสี มาเป็นผู้นำกระแสที่เรียกร้องให้ประกาศกฎอัยการศึก สนับสนุน กดดัน ให้รัฐบาลใช้กำลังปราบม็อบเสื้อแดง ซึ่งจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรุนแรงและการบาดเจ็บล้มตายได้
ผมถามว่าขัดแย้งในตัวเองไหมครับ ถ้าเทียบกับ 6 ตุลา หมอตุลย์ก็กำลังจะกลายเป็นสมัคร อุทาร อุทิศ ทั้งที่หมอตุลย์ไม่ใช่คนแบบนั้น
ที่พูดเช่นนี้ผมไม่ได้โยนให้หมอตุลย์คนเดียว เพราะต่อให้ไม่มีหมอตุลย์ ใครก็โดดขึ้นเวทีมานำม็อบหลากสีได้ เพราะกระแสที่ปลุกกันข้างเดียวมา 4 ปี มวลชนฮาร์ดคอร์ถูกปลูกฝังความเกลียดชัง ด้วยความคิดว่าเราคือคนดี เราจะทำลายล้างคนชั่ว เติมโมหะจริตลงไป เติมโทสะจริตลงไป แล้วอัดแก๊ส
ความเชื่อว่าตัวเองเป็นฝ่ายดี เป็นฝ่ายธรรมะ นี่แหละสร้างโมหะจริต โทสะจริต ได้ง่ายและได้รุนแรงกว่าด้วย “พลังศีลธรรม” จึงสามารถแปรรูปเป็น “พลังเกลียดชัง” แถมอำมหิตน้องๆ พรรคนาซีที่เกลียดยิว (พ่อค้าขูดรีด)
ซึ่งตอนนี้ พวกเสื้อแดงก็ใกล้เคียงความเป็น “ยิว” เข้าไปทุกทีแล้ว เพราะแค่เรียกร้องให้ยุบสภา ก็ถูกกล่าวหาว่าจะล้มสถาบัน
ถามว่าทำไมผมต้องมาสังโยคถึง “คนดี” ในสถานการณ์ที่กำลังจะฆ่าฟันกัน เพราะผมเศร้าใจและไว้อาลัยไงครับ สี่ปีที่ผ่านมา “คนดี” ได้เอา “ความดี” ของตัวเองมาแลกกับ “ทักษิณ” จนเหลือแต่ความเกลียดชังดำมืด
ที่ผ่านมา แม้จะถลำไปมากเพียงไรก็ยังอาจถอยกลับได้ แต่ถ้านำไปสู่การฆ่าฟันกันครั้งใหญ่ นำไปสู่มิคสัญญี ผมจะบอกว่าคุณข้ามเส้นแบ่งจนถอยกลับไม่ได้อีกแล้ว ผมคงต้อง “ไว้อาลัย” ให้กับ “คนดี” ที่สูญเสียไป
อ้าว ก็ปลุกให้ฆ่ามันๆ อยู่ทุกวัน ถ้าฆ่าฟันกันเลือดนองแผ่นดินแล้ว เถ้าแก่เปลวของผมจะไปเรี่ยไรสร้างโบสถ์อยู่ได้อย่างไร
ก็เหมือนนักวิชาการรัฐศาสตร์ที่เชียร์รัฐประหาร นักวิชาการนิติศาสตร์ที่เชียร์ตุลาการภิวัตน์ ทิ้งหลักนิติรัฐนิติธรรม แล้วจะกลับไปสอนหนังสือได้อย่างไร (ยุบนิด้าทิ้งดีกว่า)
ที่ผ่านมา ผมยังมองโลกในแง่ดีว่า พลังเสื้อเหลือง พลังคนชั้นกลาง น่าจะสามารถพัฒนาไปสู่พลังที่มีเหตุผล สร้างอำนาจต่อรองทางการเมือง ตามความฝันของพวกพี่เปี๊ยก ที่หวังว่าจะผลักดันไปสู่การเมืองที่มีคุณภาพ (แม้จะเห็นต่างกันในเรื่อง “การเมืองใหม่”) แต่เอาเข้าจริงพวกพี่เปี๊ยกที่ขึ้นเวทีพันธมิตรตอนดึกๆ ก็ยึดกุมมวลชนไม่ได้ พลังคนชั้นกลางกระแสหลักกลายเป็น “ขวาจัดฮาร์ดคอร์” ที่ขอแค่ฆ่าทักษิณกับพวกพ้องแล้วก็กลับบ้านนอนดูทีวีชื่นชมจริตของอภิสิทธิ์ ไม่ได้สนใจ “การเมืองใหม่” อะไรนั่นหรอก
สถานการณ์วันนี้เห็นได้ชัดนะครับ กลุ่มเสื้อหลากสีก็คือมวลชนพันธมิตรนั่นแหละ (อาจจะบวกหัวคะแนน ปชป.ส่วนหนึ่ง) ส่วนที่เหลือที่ยังไม่ออกมาก็มีแค่ชาวสันติอโศก พวกสหภาพรัฐวิสาหกิจ และพวก NGO ซึ่งนับไปแล้วก็กลายเป็นส่วนน้อยในมวลชนพันธมิตร
สถานการณ์มันเห็นชัดว่าพลังคนชั้นกลางกระแสหลักกลายเป็นพลังปฏิกิริยาไปแล้ว ต้องการเพียงบรรลุเป้าหมายความเกลียดชังของตัว แต่ไม่ได้คิดถึงการเปลี่ยนแปลงการเมืองสังคมไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เป็นประชาธิปไตยกว่า เป็นธรรมกว่า (ไอ้ที่พี่เปี๊ยกว่าจะปฏิรูปประเทศไทย ทำไปเหอะ พวกนี้ไม่สนใจหรอก)
ถามว่าม็อบเสื้อแดงปลุกความเกลียดชังน้อยกว่าเสื้อเหลืองหรือเสื้อหลากสีไหม ก็ไม่น้อยไปกว่ากัน แต่พื้นฐานที่มาของความคิดต่างกัน เพราะที่มาทางความคิดของเสื้อแดงไม่ได้มาจากศีลธรรมจรรยาอันคับแคบ แต่มาจากการต่อสู้เพื่อสิทธิเท่าเทียม สิทธิทางการเมือง อำนาจการเลือกตั้งที่ต้องไม่ถูกแย่งยึดไปโดยรัฐประหารตุลาการภิวัตน์ แม้จะถูกชักนำไปผูกกับทักษิณ แต่ก็เป็นเพราะเขาเห็นความยุติธรรมสองมาตรฐาน เช่นเดียวกับที่ตัวเองถูกกระทำ
ความเรียกร้องต้องการของมวลชนเสื้อแดง ไม่ใช่ความเรียกร้องต้องการที่จะตัดคนชั้นกลางออกไปจากการมีส่วนร่วมในอำนาจ เพราะไม่ว่าจะเรียกร้องให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ แก้ไขรัฐธรรมนูญ ฯลฯ ทำอย่างไรก็ไม่สามารถตัดคนชั้นกลางออกไปจากการเลือกตั้ง หรือการใช้สิทธิเสรีภาพ วิพากษ์วิจารณ์ เคลื่อนไหวทางการเมือง
แต่ความเรียกร้องต้องการของคนชั้นกลาง ผู้เชื่อว่าตัวเองมีศีลธรรมจรรยา คือความต้องการตัดคนจนคนชั้นล่าง (ที่เชื่อว่าจน เครียด กินเหล้า) ออกไปจากการมีส่วนร่วมในอำนาจ โดยฝากความหวังไว้กับขุนนางอำมาตย์ กองทัพ ตุลาการ และองค์กรอิสระ (ที่ตั้งเข้าไปจากตุลาการและเมียตุลาการ) ว่าจะเข้ามาแทรกแซง ครอบงำ ตัดตอน อำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง
ซึ่งมันไม่ได้มีความเป็นระบอบที่เป็นหลักประกันอะไรได้เลย เป็นอำนาจที่ตรวจสอบไม่ได้ วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ เพียงแต่สนองอารมณ์เกลียดชังเฉพาะหน้าของคนชั้นกลาง อย่างไม่มีเหตุผล เพราะในขณะที่พลังคนของชั้นกลางบอกว่าเกลียดชังการทุจริตคอรัปชั่น ก็กลับยอมรับกลุ่มก๊วนต่างๆ จากพรรคไทยรักไทยในอดีต ปิดตาข้างหนึ่งยอมให้หาผลประโยชน์กันปากมัน แล้วก็เชียร์ให้คนพวกนี้ใช้วิธีการหาเสียงแบบเก่าๆ เอาชนะพรรคเพื่อไทย
เป็นเรื่องเศร้าที่ต้องบอกว่าพลังคนชั้นกลางตายแล้ว เพราะเอาความดี เอาความรู้ เอาเกียรติภูมิของตนมาแลกกับ “ทักษิณ” อย่างที่มีรุ่นน้องผมกล่าวถึง ส.ว.คนหนึ่งว่า เราเสียคนดีของภาคประชาชนไปในการต่อสู้กับทักษิณ แล้วได้ “นักการเมือง” มาแทน
คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะก่อพลังใหม่ของคนชั้นกลางขึ้น เพราะต้องกวาด “ขยะ” ของเดิมก่อน “คนดี” บางคนอาจเป็นพลังสร้างสรรค์สังคมต่อไปได้ ถ้าดีจริง มีจิตใจเปิดกว้าง มองทิศทางของสังคมอย่างถูกต้อง ลดโมหะจริต แต่พวกตะแบงบิดเบือน (เช่นนักวิชาการที่กล่าวหาว่าสากกับพริกและไม้ไผ่เป็นอาวุธก่อการร้าย) เป็นขยะกองใหญ่ที่ต้องกวาดทิ้งกันเมื่อยมือเลยทีเดียว
ใบตองแห้ง
23 เม.ย.53
...............................
ป.ล.อยากแถมท้ายให้เห็นนิดว่าบางคนที่เป็นพันธมิตร ที่ไล่ทักษิณ ก็ไม่ได้ท่วมด้วยโมหะ เมล์นี้เป็นของคุณหมอกมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี ซึ่งผมได้รับเมื่อไม่กี่วันก่อน ความคิดเห็นของเธออาจจะเอียงข้างบ้าง แต่ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเธอมีจิตใจเปิดกว้างและมีเมตตาธรรม