ที่มา ไทยรัฐ
จลาจล สงครามกลางเมือง มิคสัญญี
สะท้อนภาพเหตุการณ์ความวุ่นวาย ฝูงชนบ้าคลั่งเผาบ้านเผาเมือง
วางเพลิงศูนย์การค้าย่านธุรกิจสำคัญใจกลางกรุงเทพฯ เผาทำลายอาคารสถานที่ต่างๆของเอกชนและสถานที่ราชการ เผาศาลากลางจังหวัดหลายแห่ง
เป็นอาฟเตอร์ช็อก หลังจากรัฐบาลโดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ใช้กำลังทหารกระชับวงล้อม บุกด่านรอบนอก
ปฏิบัติการบีบรัดกดดันแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และกลุ่มผู้ชุมนุมม็อบเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์
การกระชับวงล้อมตามด่านต่างๆ ทำให้เกิดการปะทะระหว่างทหารกับการ์ด นปช. และกองกำลังติดอาวุธอย่างดุเดือด
บาดเจ็บล้มตายกันทั้งสองฝ่าย ไม่เว้นแม้แต่สื่อมวลชน
ผลจากปฏิบัติการกระชับวงล้อมของฝ่ายรัฐบาล ทำให้แกนนำกลุ่ม นปช.ที่แยกราชประสงค์ นำโดยนายจตุพร พรหม-พันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ต้องตัดสินใจขึ้นเวทีประกาศยุติการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ทันที
พร้อมเดินทางเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เพื่อต่อสู้คดีตามหมายจับในคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง และคดีก่อการร้าย
ทำให้ผู้ชุมนุมบางส่วนแสดงความแค้นเคือง ลุกฮือเข้าเผาทำลายอาคารห้างร้านต่างๆในบริเวณแยกราชประสงค์
ในขณะที่กองกำลังติดอาวุธที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มม็อบเสื้อแดง ก็ปฏิบัติการใช้อาวุธสงครามตอบโต้ฝ่ายทหารที่กระชับวงล้อมอย่างดุเดือด
เหตุการณ์ความวุ่นวาย ขยายลุกลามกลายเป็นจลาจล ปล้นสะดม วางเพลิงเผาเมือง
สร้างความเสียหายให้แก่ศูนย์กลางธุรกิจสำคัญของประเทศ
ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ อาคารสำนักงาน ร้านค้า ต่างๆ รวมทั้งธนาคารหลายแห่งถูกไฟเผาพินาศวอดวาย
ขณะเดียวกัน กลุ่มเสื้อแดงในต่างจังหวัดทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน ก็ออกมาร่วมผสมโรงก่อจลาจลป่วนเมือง
โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานโซนสีแดงเข้ม มีการบุกเผาศาลากลางจังหวัดไปแล้ว 4 แห่ง ไล่ตั้งแต่ศาลากลางจังหวัด ขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานี และมุกดาหาร
ความเสียหายกระจายตัวไปในภูมิภาค
การที่แกนนำกลุ่ม นปช.ประกาศยุติการชุมนุมที่แยกราชประสงค์แล้ว แต่กลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนยังไม่ยอมยุติ
แต่กลับมีการเคลื่อนไหวตอบโต้ในลักษณะรุนแรง ถึงขั้น ก่อจลาจลทำลายล้าง เผาบ้าน เผาเมือง เผาศาลากลางจังหวัด
แน่นอน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังมีอารมณ์อัดอั้นคั่งค้างแค้นเคืองไม่พอใจอย่างรุนแรง ที่รัฐบาลใช้กำลังทหารกระชับพื้นที่ บีบรัดการชุมนุม จนแกนนำเสื้อแดงต้องยอมมอบตัว
จึงระบายความคับแค้นด้วยการทุบทำลายเผาทรัพย์สินทุกอย่างที่ขวางหน้า
เป็นการกระทำในลักษณะอารมณ์พาไป
เพราะโดนปลุกเร้าจากบรรดาแกนนำม็อบมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ไม่ใช่แค่แรมเดือน แต่เป็นแรมปี จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้สงบอารมณ์ลงแบบทันทีทันใด
แต่อีกส่วนหนึ่งในกลุ่มม็อบเสื้อแดง โดยเฉพาะสายฮาร์ดคอร์ การ์ด นปช.ขาบู๊ ต้องยอมรับว่า การก่อจลาจลป่วนบ้านเผาเมือง
อยู่ในแผนปฏิบัติการล่วงหน้า ที่แกนนำบนเวทีประกาศตอกย้ำกันมาตลอด ในท่วงทำนองขู่แบบดุดัน
ถ้ารัฐบาลใช้กำลังสลาย ระวังวอดวายเป็นทะเลเพลิง
แล้วสุดท้าย เหตุการณ์ตามคำขู่ของแกนนำก็เกิดขึ้นจริง
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์วิกฤติม็อบเสื้อแดงยึดแยกราชประสงค์ ชุมนุมขับไล่รัฐบาล มีการปะทะระหว่างกำลังทหารกับกลุ่มผู้ชุมนุมและกองกำลังติดอาวุธที่แฝงอยู่ในม็อบ จนเกิดเหตุการณ์จลาจลเผาบ้านเผาเมืองตามมา
ถ้าเป็นยุคก่อนๆ สถานการณ์วิกฤติอย่างนี้คงเกิดการปฏิวัติรัฐประหารกันไปแล้ว
แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ไม่มีการปฏิวัติรัฐประหาร
ไม่มีการฉีกรัฐธรรมนูญ
ตรงนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศไทย
เพราะการที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ ฉุกเฉินร้ายแรง
มอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ทำหน้าที่ ผอ.ศอฉ.
มีการประกาศพื้นที่สถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดหลายแห่ง สั่งใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือออกปฏิบัติการรักษาความสงบในห้วงวิกฤติม็อบเสื้อแดง
ตามด้วยการปฏิบัติการกระชับพื้นที่ เคลื่อนรถหุ้มเกราะสายพานบุกเข้ายึดด่านรอบเวทีชุมนุมแยกราชประสงค์
ปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมและกองกำลังติดอาวุธที่แฝงตัวอยู่ในม็อบอย่างดุเดือด
บีบรัดวงล้อมกดดันจนแกนนำกลุ่ม นปช.ประกาศยุติการชุมนุม เข้ามอบตัว กระทั่งเกิดเหตุจลาจลเผาเมือง
มีการประกาศเคอร์ฟิว ห้ามประชาชนออกจากเคหสถานในยามวิกาลถึง 4 คืน เพื่อรักษาความสงบ
สถานการณ์เหมือนอยู่ในสภาวะของการรัฐประหาร
แต่ไม่ใช่ เพราะเป็นการใช้อำนาจที่เด็ดขาดตาม พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงของรัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
มีกฎหมายรองรับตามรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม จากการที่ผู้สั่งการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
แม้มีกฎหมายรองรับ แต่เมื่อผลของการใช้อำนาจมีเหตุการณ์ ปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารกับกลุ่มผู้ชุมนุม มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
เมื่อถึงจุดที่ต้องกลับไปสู่สนามเลือกตั้ง ก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวและอันตราย
เพราะภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เหมือนกับนักการ เมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน สั่งปราบประชาชน
ที่สำคัญปฏิเสธไม่ได้ว่า การชุมนุมของม็อบเสื้อแดงในครั้งนี้เกี่ยวพันกับความขัดแย้งทางการเมือง
เป็นม็อบที่เกิดขึ้นจากการชิงอำนาจกันระหว่างการ เมือง 2 ขั้ว
มีการชุมนุมย่อย ชุมนุมใหญ่ ปลุกเร้าปลุกระดมด้วย วิธีการต่างๆ บ่มเพาะความเกลียดชังกันมาเป็นปีๆ
ยิ่งมีการปะทะเกิดการสูญเสีย ยิ่งกลายเป็นบาดแผลในใจของผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง
วันนี้ แม้วิกฤติการชุมนุมของกลุ่มม็อบเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ได้ยุติลงไปแล้ว แต่ปัญหาก็ยังไม่จบ
ยังมีวิกฤติใหญ่รออยู่ข้างหน้า
ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมประท้วง ก่อจลาจลในจังหวัดต่างๆทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน
รวมไปถึงการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ก็ยังไม่รู้ว่าทุกพรรคจะไปหาเสียงได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศหรือไม่
ที่สำคัญ ถ้าเกาะติดร่องรอยการขับเคลื่อนต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่อยู่เบื้องหลังแกนนำกลุ่ม นปช. และการขับเคลื่อนของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด
จะเห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่า ทุกก้าวย่างของการต่อสู้ ทุกกระบวนท่าของความเคลื่อนไหวของทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ แกนนำกลุ่ม นปช. และพรรคเพื่อไทย
มีความพยายามที่จะดึงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในห้วงวิกฤติม็อบเสื้อแดงไปสู่เวทีสากลระดับโลกตลอดเวลา
มีการยื่นหนังสือถึงองค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น หลายครั้งหลายหน
เพื่อขอให้องค์การสหประชาชาติเข้ามาเป็นตัวกลางในการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมกับรัฐบาล
แต่สถานการณ์ยังเดินไปไม่ถึงจุดนั้น เพราะองค์การสหประชาชาติมีหลักเกณฑ์กติกาในการที่จะเข้าไปทำหน้าที่เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย
ถ้าไม่ถึงขั้นเกิดสงครามกลางเมืองอย่างร้ายแรง หรือไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ เพราะมีเหตุรุนแรงรบราฆ่าฟันกัน
องค์การสหประชาชาติไม่สามารถแทรกแซงได้
ปมนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะถ้าเหตุการณ์ในประเทศลุกลามบานปลาย รัฐไทยล้มเหลวจนเข้าขั้นเข้าข่ายที่องค์การสหประชาชาติต้องเข้ามาดูแล
เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยเจรจา ก็เหมือนกับประเทศสูญเสียเอกราช
จากร่องรอยการต่อสู้หลายแง่มุมที่เกิดขึ้น มันสะท้อนให้เห็นว่า
แกนนำกลุ่ม นปช.ภายใต้บงการของ "นายใหญ่" ต้องการจะเดินไปสู่จุดนั้น เพื่อให้องค์การสหประชาชาติ เข้ามาเป็นตัวกลางเจรจาไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง
และผู้ที่จะได้ประโยชน์เต็มๆจากตรงนี้ ก็หนีไม่พ้น "ทักษิณ"
เพราะมันเป็นอีกหนทางที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายยุทธศาสตร์ ได้กลับประเทศไทยโดยไม่ต้องรับโทษทางอาญา และทวงขุมทรัพย์คืน
ในขณะที่ฝ่ายถืออำนาจรัฐก็รู้ว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์ เช่นนี้ตามมา
เพียงแต่จะรับมือกับเหตุก่อการร้ายและจัดการเลือกตั้งครั้งต่อไปโดยควบคุมไม่ให้มีเหตุรุนแรงได้หรือไม่
จะสามารถนำความปรองดองในสังคมไทยกลับคืนมาได้หรือเปล่า
โดยเฉพาะแผนปรองดอง 5 ข้อที่นายกฯอภิสิทธิ์ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งทุกฝ่ายทั้งในประเทศและนานาชาติขานรับกันอยู่แล้ว
ถ้าทำได้ โอกาสที่ "รัฐไทยล้มเหลว" ก็คงไม่เกิดขึ้น.
"ทีมการเมือง"