ที่มา ข่าวสด
คอลัมน์ เหล็กใน
สมิงสามผลัด
วิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ดูทีท่าอาจจะยืดเยื้อออกไปหลายเดือนทีเดียว
ด้วยปัจจัยหลายอย่างทั้งพายุที่ยังโหมกระหน่ำฟาดหางใส่เมืองไทยลูกแล้วลูกเล่า และมีแนวโน้มว่าจะมีพายุเพิ่มอีก
ปริมาณน้ำในหลายเขื่อนใหญ่อั้นไม่อยู่ ต้องเร่งระบายน้ำลงสู่แม่น้ำสาขา ก่อนระบายลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
ประเมินกันคร่าวๆ จะมีมวลน้ำมหึมากว่า 7 พันล้านลบ.ม.ไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงเดือนนี้
ฉะนั้น จังหวัดที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาจึงกลายเป็นพื้นที่รับน้ำไปโดยปริยาย
พระนครศรีอยุธยาจึงประสบกับภัยพิบัติน้ำท่วมอย่างรุนแรงอย่างที่เห็น
ล่าสุดนครสวรรค์ก็เกิดพนังกั้นน้ำแตก ทะลักเข้าท่วมเขตเมืองในพริบตา
แต่ที่ต้องจับตากันอย่างใจระทึกคือกรุงเทพฯ
คาดกันว่ามวลน้ำก้อนใหญ่จะเดินทางมาถึงเมืองหลวงในช่วงสัปดาห์นี้
ผสมโรงกับช่วงน้ำทะเลหนุน 13-15 ต.ค.
การระบายน้ำผ่านกรุงเทพฯลงสู่ทะเลเกิดอุปสรรคแน่ๆ
ถึงเวลานั้นอาจจะเห็นกรุงเทพฯจมน้ำอีกครั้ง
ทั้งเหตุผลเรื่องความแปรปรวนของธรรมชาติ ประกอบกับน้ำก้อนมหาศาลที่สะสมอยู่ก่อนหน้านี้
อาจทำให้สถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้รุนแรงมากที่สุดในรอบหลายสิบปีของเมืองไทย
แต่ต้องยอมรับว่าการรับมือสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีในระดับหนึ่ง
การเปิดศูนย์ป้องกันอุทกภัยที่สนามบินดอนเมือง ถือเป็นหัวใจในการบริหารจัดการและแก้ปัญหาให้คล่องตัว
บูรณาการทุกภาคส่วนให้ไปในแนวทางเดียวกัน
การส่งรัฐมนตรีทั้งหมดลงพื้นที่บัญชาการป้องกันในจังหวัดสำคัญๆ ก็ช่วยให้การตัดสินใจฉับไวทันท่วงที
ที่สำคัญการออกทีวีพูลของนายกฯยิ่งลักษณ์เพื่อเตือนภัยพี่น้องประชาชนก็มีส่วนช่วย
เพราะการยืนยันว่ารัฐบาลยังควบคุมสถานการณ์ ไว้ได้
เป็นการป้องกันไม่ให้ประชาชนแตกตื่นโกลาหล !?
แต่ภัยพิบัติครั้งนี้ต้องการความร่วมมือร่วมใจของคนไทยทั้งชาติ
ฝ่ายการเมืองควรหยุด ควรเลิกซ้ำเติมกันสักระยะ ระดมสรรพกำลังเข้าช่วยแก้ปัญหา
คนสีเสื้อต่างๆ หันมาร่วมมือกันซับน้ำตาผู้ประสบภัย
เชื่อว่าเมืองไทยคงผ่านภัยพิบัติครั้งนี้ได้ไม่ยาก