ที่มา มติชน
วิกฤตน้ำท่วม กลายเป็นโอกาสพิสูจน์ผู้นำในการแก้ปัญหาได้อย่างดีที่สุด
"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" จะสอบผ่านหรือสอบตก ก็คราวนี้
วันนี้(10 ตุลาคม 2554) เป็นวันที่สองแล้วที่ นายกฯ นั่งหัวโต๊ะ เป็นประธานประชุมศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพมหานคร
หลังประชุมเสร็จ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และนายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน เดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์แบล็คฮอร์ค ของกองทัพบกจากท่าอากาศยานดอนเมือง ไปยังสนามจอดเฮลิคอปเตอร์ชั่วคราว บริษัท แคนนอนไฮเทค (ประเทศไทย) จำกัด นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา
บนเครื่องแบล็คฮอร์ค จะเห็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก นั่งคู่กับ พลตำรวจเอก เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ส่วนตรงข้ามคือ นายกฯ ที่จับจ้องมองภาพพื้นที่ความเสียหาย อย่างเคร่งเครียด
ภาพนายกฯกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ลุยแก้ปัญหาน้ำท่วม ร่วมกันทำให้นึกถึงภาพตอนที่ทั้งสองขึ้นรถปิกอัพตรวจน้ำท่วมที่ นครสวรรค์ เดือนกันยายน โดยมีดาราสาวร่วมขบวน
จากนั้น เวลา 11.30 น. เดินทางโดยรถยนต์ไปยังศูนย์ราชการ จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์น้ำและการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในภาพ รวม โดยมีนายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ที่นี่ นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยนายกฯ กล่าวขณะรับฟังบรรยายสรุปจากทุกภาคส่วน เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาและป้องกันสถานการณ์น้ำในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาว่า ยุทธศาสตร์เดิมที่จัดทำไว้หากแก้ไขไม่ได้ ขอให้ปรับแผนใหม่ โดยมอบให้ กองทัพภาคที่ 1 กับกรมชลประทานร่วมกันบูรณาการรับผิดชอบ และจากรายงานล่าสุดได้มีน้ำทะลักเข้านิคมอุตสาหกรรมโรจนะเฟสที่ 2 และ 3 สูงกว่า 1 เมตร ส่วนนิคมอุตสาหกรรมไฮเทคให้ช่วยกันเร่งเสริมคันกั้นน้ำเพื่อรักษาพื้นที่ไม่ ให้ขยายวงกว้าง
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียังได้มอบหมายให้แม่ทัพภาคที่ 1 และผู้ว่าราชการจังหวัดฯ ร่วมกันประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และให้เร่งสำรวจความเสียหายของโบราณสถานที่สำคัญของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อาทิ พระตำหนักสิริยาลัย พระราชวังบางปะอิน อีกทั้งให้ร่วมประสานงานทุกภาคส่วนให้ส่งกำลังพลเสริมแนวกั้นน้ำ และบรรจุกระสอบทรายในสถานที่สำคัญ ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร และโครงการก่อสร้างศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด ซึ่งได้มีการรายงานว่า สถานการณ์น้ำในวันนี้ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้คันกั้นน้ำในหลายชุมชนที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาพังลงมา น้ำไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือน ส่วนสถานการณ์น้ำถนนโรจนะขาออก เพิ่มระดับสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้การจราจรเข้าออกตัวเมืองติดขัดอย่างหนัก
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์การรับบริจาคด้านหน้าศูนย์ราชการ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเยี่ยมประชาชนที่ศูนย์อพยพบริเวณตึกแถวฝั่งตรงข้ามศูนย์ราชการฯ แล้วเดินทางไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อตรวจสถานการณ์น้ำในจังหวัดนครสวรรค์ก่อน เดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
อีกด้านหนึ่ง คู่สมรสคณะรัฐมนตรี นำโดย นายอนุสรณ์ อมรฉัตร คู่สมรสนายกรัฐมนตรี และคณะได้ออกเดินทางโดยรถบัสจากหน้าอาคารเฉลิมพระเกียรติ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ไปยังศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบอุทกภัย จำนวน 1,200 ชุด ประกอบด้วย อาหารแห้ง นมผงเด็ก ผ้าอ้อม ผ้าขาวม้า ผ้าถุง ผ้าอนามัย ผ้าขนหนู น้ำดื่ม ยารักษาโรค ไฟฉายพร้อมถ่าน ฯลฯ และมอบสิ่งของบำรุงขวัญแก่กำลังพล - อาสาสมัคร ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ประสบอุทกภัย (จำนวน 800 ชุด) ประกอบด้วย เสื้อ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง น้ำดื่ม ฯลฯ ภายใต้โครงการบรรเทาทุกข์ผู้ประสบอุทกภัย และบำรุงขวัญกำลังพล - อาสาสมัครที่ปฏิบัติหน้าที่ ถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ โดยคู่สมรสคณะรัฐมนตรี
เมื่อเดินทางถึงศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายอนุสรณ์ อมรฉัตร คู่สมรสนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวให้นามคู่สมรสคณะรัฐมนตรีว่า ขอเป็นกำลังใจ ให้กับพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัย ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่มีความห่วงใยต่อความเดือดร้อนของพี่น้อง ประชาชน นายกรัฐมนตรีจึงมอบหมายให้ คู่สมรสคณะรัฐมนตรีร่วมปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนเสริมการทำงานคู่ขนาน กับรัฐบาล ขอให้พี่น้องอดทน รัฐบาลจะไม่ทอดทิ้ง ต่อไปถ้าประชาชนขาดเหลืออะไรขอให้แจ้งมาได้ ทางคู่สมรสคณะรัฐมนตรีพร้อมที่จะจัดหาสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นต่าง ๆ มามอบให้ในครั้งต่อ ๆ ไป