ที่มา ข่าวสด
กรณีสมคิด บุญถนอม ผู้ต้องหาคดีอัลรูไวลี่
เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2553 สถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย
ออกแถลงการณ์ต่อประเด็นเกี่ยวกับมติของก.ตร.
ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณเป็นประธานในการพิจารณาในตำแหน่ง
พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภาค 5 ผู้ต้องหา และพวกทั้ง 5
ในคดีการหายตัวของนายโมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย
ในปี พ.ศ.2533 เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
สถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียต้องการที่จะชี้แจงต่อข้อมูลที่ได้รับจากทางการ
ที่ว่าพลตำรวจโทสมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ตกเป็นจำเลย
และคดีกำลังอยู่ในระหว่างชั้นศาล ซึ่งจะเริ่มต้นนับสืบพยานในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2553
หลังจากสำนักอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งฟ้องคดีดังกล่าว
และมีความเห็นว่าหลักฐานที่รวบรวมโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอนั้นเพียงพอ
ในการพิจารณาและได้สั่งฟ้องพล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ.5และพวกเป็นผู้ต้องหา
คดีอุ้มฆ่านายโมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี่
ตามมาตรา 95 พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติปี พ.ศ. 2547 ระบุว่าข้าราชการตำรวจผู้ใด
มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน
หรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญา
จะต้องถูกสั่งพักราชการจนกว่าการพิจารณาคดีเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์
ดังนั้นด้วยเหตุนี้ ทางสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบีย
รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ทราบว่า
นายสุเทพ เทือกสุบรรณได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่าคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย
มีมติว่า พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ไม่มีความผิดและได้เลื่อนตำแหน่
งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งการที่คณะกรรมการตำรวจ หรือ ก.ตร.
โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณเป็นประธานได้มีมติเลื่อนตำแหน่งให้พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม
ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญาหรือคดีที่มีความผิดร้ายแรง
ทางสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียรู้สึกแปลกใจต่อความขัดแย้งระหว่าง
ความหมายที่ระบุอย่างชัดเจนของ พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547
ตามมาตรา 95 กับการปฎิบัติของทางคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติซึ่งมีเจตนา
ที่จะไม่เอาผิดทางวินัยต่อผู้ถูกกล่าวหาในคดีฆาตกรรมนายอัลรูไวลี่ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม
และทางสถานทูตฯ รู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่งว่านายตำรวจระดับชั้นผู้ใหญ่
ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ได้รับการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น
ซึ่งทางสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียได้ตระหนักถึงรูปคดี
อาจส่งผลกระทบการดำเนินพิจารณาคดีความต่างๆที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่ต้องหา
และเช่นเดียวกันทางสถานทูตฯคาดหวังอยู่ว่า
การบังคับใช้กฎหมายต้องปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงถึงตำแหน่ง
และฐานะของบุคคลรวมถึงความสัมพันธ์ อันเป็นไปตามเจตนารมย์ของกฎหมาย
ช่วงเวลาเหตุการณ์ในปัจจุบันทางรัฐบาลไทย
ได้มีความพยายามที่ดำเนินการไปแล้วในช่วงต้นปีที่จะคลี่คลายปัญหาทั้ง 3 คดี
ที่ยังค้างของซาอุดิอาระเบีย
ซึ่งนับเป็นก้าวแรกในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทย
และประเทศซาอุดิอาระเบียทางสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียเห็นว่าช่วงระยะหลังนี้
แตกต่างกับระยะแรกในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางข้อกังวล ต่อความทุ่มเทของทั้งสองประเทศ
ในการสะสางคดีที่คงค้างในปัจจุบันเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศโดยตรง
เกรงว่าจะประสบความล้มเหลว
ท้ายที่สุด สถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียต้องการที่จะเน้นย้ำ
จุดยืนนโยบายของรัฐบาลซาอุดิอาระเบียถึงเรื่องการไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายใน
ในแต่ละประเทศ และตระหนักถึงความอ่อนไหวของสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามทางสถานทูตฯ
ได้เฝ้าติดตามต่อคำมั่นและสัญญาของรัฐบาลไทยต่อการปฎิบัติตามคำมั่นและรับประกัน
ในกระบวนการยุติธรรม
และมีความโปร่งใสรวมถึงการไม่เข้าไปแทรกแซงจากหน่วยงานใดๆ ต่อคดีของซาอุดีอาระเบีย
ที่ยังค้างคาอยู่ เพื่อเป็นหนทางนำไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์
ระดับทวิภาคีระหว่างราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียและประเทศไทยตามสัญญาที่รัฐบาลไทย
ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ให้ไว้