ที่มา ไทยรัฐ ผลกระทบทางการเมืองที่มีต่อเศรษฐกิจตั้งแต่ปลายปีที่แล้วแม้ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งรัฐบาลพยายามสรุปว่า การเติบโตทางด้านเศรษฐกิจในปีนี้ไม่น่าจะต่ำกว่าร้อยละ 7 ภาคธุรกิจที่เป็นตัววัด และจะมีผลกระทบเป็นอันดับต้นๆหนีไม่พ้น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ วิกฤติเศรษฐกิจแต่ละครั้งทำเอาภาคอสังหาริมทรัพย์ ย่อยยับไปตามๆกัน จนในระยะหลังผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีความรอบคอบมากขึ้น และเตรียมตัวป้องกันเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีขนาดใหญ่ มูลค่ามหาศาล ที่จะส่งผลกระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศโดยตรง หมัดเหล็ก
ปีนี้เช่นกัน ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เกรงกันว่าจะมีผลกระทบจาก วิกฤติการเมือง เอาเข้าจริงก็ยังไปได้ อสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยกลับโตขึ้นด้วยซ้ำ และน่าจะสดใสไปจนถึงปีหน้า
ทั้งนี้ คุณวิบูล จันทรดิลกรัตน์ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งมีการจัดงานรับสร้างบ้านขึ้นที่ศูนย์ฯสิริกิติ์ไปเมื่อเร็วๆนี้ ภายในระยะเวลา 5 วันของการจัดงาน มียอดขายเป็นที่น่าพอใจ ยอดขายรวมอยู่ที่ประมาณ 2,200 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเปรียบกับปีที่แล้วยอดขายรวมอยู่ที่ 2,400 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ช่วงที่การเมืองมีปัญหากระทบกับยอดขายบ้าง เล็กน้อย แต่เมื่อมีการกระตุ้นยอดขายด้วยโปรโมชั่นต่างๆ ก็กลับมาดีขึ้น ปัญหาที่เกรงว่าจะมีผลกระทบอีกประเด็นก็คือเรื่องของ ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ที่จะทำให้การเจริญเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในช่วงเวลาอีก 6 เดือนข้างหน้าความ ต้องการในการสร้างบ้านก็ยังอยู่ในเกณฑ์สูง ทั้งนี้ เป็นการยืนยันจากการเก็บผลสำรวจพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เข้ามาชมงานสร้างบ้าน 2010 ในเดือนที่ผ่านมา จากแบบสอบถามร้อยละ 40 ยังมีความต้องการที่จะสร้างบ้าน และในจำนวนนี้กว่าร้อยละ 50 ไม่คำนึงว่าอัตราดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร เพราะไม่มีความต้องการที่จะขอสินเชื่ออยู่แล้ว
ปัจจุบันบ้านราคา 2.5-5 ล้านบาท ได้รับความนิยมมาก ที่สุด มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ราคาบ้านที่มีระดับต่ำกว่า 2.5 ล้านได้รับความนิยมตามมา ซึ่งมีสัดส่วนลดลงเมื่อเทียบกับ 2-3 ปีที่แล้ว
และปรากฏว่าบ้านในระดับราคาที่สูงกว่า 20 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนน้อยที่สุด แต่ความต้องการของผู้บริโภคในกลุ่มนี้กลับมีความต้องการเพิ่มขึ้น ในระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา
ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่าในระยะ 6 เดือน หรือ 1 ปีต่อจากนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ก็ยังเดินหน้าไปได้สบายๆ ความต้องการของผู้บริโภคมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
พอจะสรุปได้ว่า วิกฤติการเมืองที่เกรงกันว่าจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ไม่ได้รุนแรงมากมายนักเมื่อมองภาพรวม ทั้งการลงทุน และเม็ดเงินลงทุน ยกเว้นธุรกิจบางประเภท เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยยังไปได้ ก็ต้องฝากรัฐบาลรีบไปเคลียร์ความชัดเจนโครงการในมาบตาพุดให้เรียบร้อย เดี๋ยวเสียภาพพจน์การลงทุนหมด.