ที่มา ประชาไท พรรคเพื่อไทยออกมาแถลงพร้อมปรองดอง ข่าวบางกระแสว่ามาจากการประสานงานของนักวิชาการ UN ข่าวบางกระแสว่าถูกบีบ ข่าวที่ผมได้ฟังก็เหมือนไทยรัฐหน้า 3 วันอังคาร คือถูกบีบ แถมมีคำขู่ว่าถ้าไม่ยอมปรองดองจะล้มกระดาน ปฏิวัติ ปิดประเทศ กวาดล้างปราบปรามขนานใหญ่ ผมฟังแล้วหัวร่อก๊าก ย้อนถามว่าอ้าว ตอนนั้นเสื้อแดงก็เคยคิดว่าให้ทหารปฏิวัติไปซะเลย จะได้พังเร็วขึ้น อย่างนั้นไม่ใช่หรือ ปฏิวัติตอนที่หุ้นจ่อพันจุดเนี่ยนะ มีแต่พังกับพัง มันจะเป็นไปได้ไง ที่แน่ๆ ก็คือมีการเจรจาจากหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายกลาโหม ฝ่าย ปชป.และฝ่ายไหนอีกมั่ง ก็ให้ดูว่าทำไมคนเจรจาจึงเป็นปลอดประสพ สุรัสวดี สืบสาวเครือญาติปลอดประสพดูสิ ว่าสาวถึงใครมั่ง (ซูโม่ตู้-ฮา) เพราะเตรียมการมาก่อนหน้าแล้ว พอปลอดประสพเสนอ วันรุ่งขึ้นอภิสิทธิ์ก็สนองทันที ถ้าไม่เตรียมมาก่อน จะพี่ร้องน้องรำสอดรับกันได้อย่างนี้รึ รวมทั้งมีการเจรจาสายตรงถึงทักษิณด้วย ทักษิณจึงออกมาทวิต สนับสนุนให้ปรองดอง แต่เขายื่นเงื่อนไขต่อรองแลกเปลี่ยนกันอย่างไร สุดที่เราจะทราบ เท่าที่ทราบระแคะระคายก็คือการเจรจาในประเทศ ซึ่งไม่ได้ยื่นเงื่อนไขเลยสักนิดว่า จะประนีประนอมยอมอ่อนข้ออะไรบ้าง เป็นเหมือนบีบให้ยอมจำนนเสียมากกว่า ส่วนในวงกว้าง ปชป.ก็ยังสำแดงสันดานเอาเปรียบทุกเม็ด ช่วงชิงให้ร้ายทางการเมือง เช่นบอกให้เลิกจาบจ้วงสถาบัน พูดแบบนี้ใครไปเจรจาด้วย บอกยอมเลิก ก็เท่ากับยอมรับว่าจาบจ้วงสถาบันนะสิ ปรองดองแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับที่นายทหารคุยว่าไปเอาเสื้อเหลืองเสื้อแดงมาร้องเพลงชาติกับเพลงสรรเสริญพระบารมีแล้วยุติความขัดแย้ง โห อะไรมันจะง่ายปานเล่นปาหี่ ฟังแล้วขำกลิ้ง ถ้าง่ายปานนั้นก็ลงไปปรองดองกับ “โจรใต้” ให้ดูหน่อยสิ ถ้าจะเอาง่ายๆ แค่ถ่ายภาพออกสื่อมันก็ง่าย สมมติผมนอนอยู่บ้านแล้วมีรถจี๊ปมาจอดหน้าบ้าน ใบตองแห้ง ไปลงชื่อปรองดองหน่อย! มีรึ ผมจะกล้าไม่ไป ต้องรู้ซะมั่งว่าประเทศนี้ใครใหญ่ อยู่ดีไม่ว่าดี ไปเที่ยวกล่าวหาว่าคนมีสีไล่ล่าเสื้อแดง ต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายไก่อู ที่สาวๆ เมืองกรุงชูจั๊กกะแร้โหวตท่วมท้น ฉะนั้นผมก็ต้องไปลงชื่อปรองดอง แต่ใจผมปรองดองหรือเปล่า คุณก็รู้ เพราะปรองดองไม่ได้แปลว่าให้สยบยอมตามผู้มีอำนาจ การปรองดองไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ตราบใดที่ไม่คืนความยุติธรรม และคืนประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ดี การ “ปรองดองทางยุทธวิธี” ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้และยอมรับได้ ในสถานการณ์ที่แน่นอนหนึ่งๆ ถ้าเรามองมุมกลับ การที่ระบอบอภิสิทธิ์ชน-จะขู่จะบีบหรือถูกหว่านล้อมด้วย UN ก็แล้วแต่ พยายามเรียกหาความปรองดอง ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขากลัวพลังประชาชน กลัวการลุกฮือของมวลชนเสื้อแดง ที่แม้จะโค่นล้มพวกเขาไม่ได้แต่ก็อยู่ในสภาพที่ปกครองไม่ได้ และพวกเขากลัวว่ายิ่งนานวันไป พลังอำนาจที่มีอยู่สูงสุดในวันนี้จะค่อยๆ เสื่อมลง ด้วยเงื่อนไขหลายอย่างที่เป็นชนวนระเบิดเวลา มันอาจจะถึงจุดหนึ่งที่เกิดกลียุคของแท้ ฉะนั้น ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องตั้งข้อเรียกร้องกลับว่า การปรองดองที่แท้จริงไม่มีวันเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่คืนความยุติธรรมและความเป็นเสรีประชาธิปไตย และที่สำคัญ การปรองดองไม่ได้หมายความว่าจะต้องยุติความขัดแย้ง สยบยอมตามระบอบอภิสิทธิ์ชนโดยไม่สามารถมีปากเสียง แต่หมายความว่าจะต้องขัดแย้งกันต่อไปอย่างสันติหรือรุนแรงน้อยที่สุด ต่อสู้ทางความคิดกันอย่าง “แข่งขันเสรี” ซึ่งถ้าจะปรองดองจริง ผู้มีอำนาจต้องเป็นฝ่ายริเริ่ม เหมือนที่ใครบางคนยกตัวอย่างแอฟริกาใต้ว่าแมนเดลาเป็นผู้ริเริ่มก่อน หลังได้ชัยชนะ (ถึงแม้จะเอามาเปรียบกันไม่ได้เพราะอภิสิทธิ์และอำมาตย์ปล้นอำนาจมา ไม่ได้ชัยชนะมาอย่างชอบธรรมเหมือนแมนเดลา) และถ้าอยากปรองดองจริง ก็ไม่ใช่เจรจาแต่กับทักษิณหรือพรรคเพื่อไทย แต่จะต้องทำอะไรบางอย่างที่ส่งสัญญาณถึงประชาชนผู้รักประชาธิปไตย โดยเฉพาะคนเสื้อแดงที่เจ็บแค้นจากการถูกปราบปรามเข่นฆ่า ซึ่งถึงวันนี้ต่อให้คุณเจรจาคืนเงิน 4 หมื่นล้านให้ทักษิณ นิรโทษกรรมทักษิณ มันก็ไม่ได้ลบความเจ็บแค้นของเสื้อแดงหรอก ถ้าเข้าใจความเป็นจริง ผู้มีอำนาจจะต้องเข้าใจว่า ฝ่ายประชาธิปไตยไม่มีทางสยบยอมพวกคุณได้ ต้องต่อสู้กันต่อไปให้เห็นดำเห็นแดง แต่เรากับพวกคุณ “ปรองดองทางยุทธวิธี” ได้ นั่นคือทำให้มันเป็นการต่อสู้ขัดแย้งโดยสันติ หรือรุนแรงน้อยที่สุด ฉะนั้นถ้าคุณอยากเจรจากับทักษิณ แลกเปลี่ยนเงื่อนไขผลประโยชน์อะไร ก็ว่ากันไป ที่จะให้ทักษิณยุติการเคลื่อนไหว ทำธุรกิจอยู่นอกประเทศ โดยรัฐบาลปลดล็อกบางอย่างให้ เพื่อไม่ให้เกิดการก่อวินาศกรรมหรือลอบสังหารหรือความรุนแรงใดๆ ที่ฝ่ายรัฐเชื่อว่ามาจากทักษิณ เชิญว่ากันไปตามสบายครับ ผมชอบอยู่แล้ว ที่จะให้ทักษิณถอยไป ฝ่ายประชาธิปไตยไม่ต้องการให้ใครมาบึ้มๆ อยู่ข้างๆ ถ้าคุณอยากเจรจากับพรรคเพื่อไทย ไม่ให้สนับสนุนการใช้ความรุนแรง ก็ว่ากันไป ไม่ให้จตุพรโดดมานำม็อบ ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ แต่คุณจะบอกให้พรรคเพื่อไทยเลิกสนับสนุนการเคลื่อนไหวของมวลชนเสื้อแดงไม่ได้ เพราะการปรองดองที่แท้จริง คือคุณต้องสนับสนุนให้มวลชนเสื้อแดงเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตยปกติ เข้ามาเป็นมวลชนของพรรคการเมือง แล้วต่อสู้กันในระบบ และถ้าคุณอยากจะปรองดองกับมวลชนเสื้อแดง ซึ่งความจริงเป็นไปไม่ได้ เพราะปราบเขาไปแล้ว มีคนตาย 91 ศพ คุณไม่มีวันทำให้เขาลืมหรือสยบยอมได้ แต่คุณลดความโกรธแค้นได้ นั่นคือให้ความยุติธรรมกับมวลชนที่ถูกจับกุมดำเนินคดี จะนิรโทษกรรมหรือไม่ผมไม่เรียกร้อง แต่ต้องแยกแยะปล่อยตัวคนที่แค่มาร่วมชุมนุมโดยไม่มีพยานหลักฐานว่าทำความผิด คนที่ถูกจับแบบเหวี่ยงแห ส่วนที่เหลือก็ให้ประกันรวมทั้งแกนนำ ซึ่งไม่มีปัญหานี่ครับ สามารถให้ประกันโดยกำหนดเงื่อนไขว่าระหว่างสู้คดีต้องไม่ไปนำการชุมนุมอีก หรือถ้าคุณอยากจะลดแรงกดดันจากนักการเมือง คุณก็ต้องปลดล็อกยกเลิกการตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบ ซึ่งอันที่จริงโดยตัวบุคคล ปัจจุบันไปอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลเสียมากกว่า แต่นัยทางนิติรัฐ อย่างน้อยมันก็เป็นการ “คืนความยุติธรรม” ข้อสำคัญที่สุดที่ผู้มีอำนาจหวาดหวั่นคือ กลัวว่าจะไปสู่ “ขบวนการล้มเจ้า” ทั้งที่ความจริงแล้วมันจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าไม่มีการ “ปลุกผี” แอบอ้างสถาบันมาทำลายล้างกันทางการเมือง “ดึงฟ้าลงต่ำ” ถามว่าวันนี้ยังแก้ไขได้ไหม ยังแก้ไขได้ แต่พวกคุณต้องแก้ไขเอง ผู้จงรักภักดีที่แท้จริงจะต้องวาง roadmap ในการเทิดสถาบันขึ้นไปให้พ้นจากความชุลมุนของการต่อสู้ขัดแย้งทางการเมือง การช่วงชิงอำนาจที่ใช้กองทัพและอำนาจตุลาการเป็นเครื่องมือ ผู้จงรักภักดีที่แท้จริงควรเข้าใจว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ยึดอุดมการณ์หลักคือเสรีประชาธิปไตย ไม่ใช่สังคมนิยมและไม่ใช่เผด็จการ อุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องทำลายล้างอุดมการณ์ราชาชาตินิยม สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยซ้ำ ดังที่เห็นในอังกฤษ สวีเดน ฮอลแลนด์ หรืออีกหลายๆ ประเทศ เพียงแต่ต้องไม่เอาอุดมการณ์ราชาชาตินิยมมาอยู่เหนืออุดมการณ์ประชาธิปไตย ผู้จงรักภักดีจึงต้องวาง roadmap ไปสู่การอยู่ร่วมกันในสังคมสมัยใหม่ที่เปิดกว้าง เพราะถ้าปล่อยให้อุดมการณ์ราชาชาตินิยมกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยต่อสู้ทำลายล้างกัน ไม่ว่าใครชนะ ก็แลกมาด้วยความสูญเสียใหญ่หลวงยิ่งกว่าทุกครั้งที่เคยมีมารวมกัน ยุทธศาสตร์เปลี่ยนไป ที่พูดมาทั้งหมดอย่าว่าเพ้อฝัน เพราะผมยกตัวอย่างคร่าวๆ ว่าควรตั้งข้อเรียกร้องต่อผู้มีอำนาจอย่างไรในการ “ปรองดองทางยุทธวิธี” โดยที่ผมเองก็ไม่เชื่อว่าพวกเขาจะยอมปรองดอง เพราะพวกเขาต้องการให้ยอมจำนนมากกว่า แต่ถ้าปรองดองทางยุทธวิธีได้ ไม่ว่าระดับใด ก็เป็นประโยชน์ต่อขบวนประชาธิปไตย ซึ่งในขั้นตอนนี้ ยังอยู่ระหว่างการตั้งขบวนใหม่ ตั้งลำใหม่ ฟื้นฟู เยียวยา และต้องอดทนรอคอยโอกาส รอความเสื่อมของ “ระบอบอภิสิทธิ์” โดยยังเป็นขั้นตอนของการต่อสู้ทางความคิด และยังเป็นขั้นตั้งรับ อย่าว่าแต่แตกหักเลย แค่รุกก็ยังไม่ใช่ ระบอบอภิสิทธิ์ยังอยู่ในจุด peak และยังจะ peak ไปจนถึงการเลือกตั้ง ผมไม่เชื่อข่าวขู่รัฐประหาร ขั้วอำนาจจารีตนิยมจะไม่ทำรัฐประหารอีก เว้นแต่เกิดเรื่องใหญ่ระดับฟ้าถล่มดินทลาย ทำไมต้องทำรัฐประหาร ในเมื่อเผด็จการมีหน้ากากหล่อๆ ไว้สวมหลอกชาวโลก ผมมองตรงข้ามว่า ยุทธศาสตร์ของพวกเขา คือต้องการเอาชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ เพราะถ้าพรรคแมลงสาบกับพรรคภูมิใจห้อยกวาดที่นั่งไปซัก 300 กว่าที่นั่ง เพื่อไทยเหลือซัก 100 ที่นั่ง ที่เหลือเป็นพรรคเล็ก พวกเขาก็จะชิงความชอบธรรมไปได้ว่าได้อำนาจจากการเลือกตั้ง ถามว่าทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อระบอบอภิสิทธิ์ตีกินกระแส “ไทยนี้รักสงบ” ปกป้องสถาบัน ชนะเรียลลิตี้คลั่งชาติ กวาดกระแสคนกรุงคนชั้นกลางที่ยอมเป็น “คนขายเสรีภาพ” (ตามศัพท์ อ.เกษียร) เพื่อความสงบแบบซุกไว้ใต้พรม เพื่อดัชนีเศรษฐกิจที่จะนำไปสู่ความมั่งคั่ง โดยไม่สนใจหลักการประชาธิปไตยและความยุติธรรมอีกแล้ว ถามว่าทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อพรรคการเมืองใหม่ถอดใจหมดแล้ว พ่อยกแม่ยกกอดคอกันร่ำไห้ ที่เคยคิดกันว่า กมม.จะมาแย่งฐานเสียง ปชป.ในหลายพื้นที่ ตอนนี้จะเหลือส่งสมัครซักสิบเขตหรือเปล่า ก็ไม่รู้ ถามว่าทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ก็พรรคภูมิใจห้อยดูด ส.ส.กันเห็นๆ อัดงบประมาณลงไปให้ ส.ส.เฉพาะจุด โดยไม่ต้องพูดว่าจังหวัดไหนไม่เลือกไม่ให้งบประมาณ อย่างทักษิณ (ซึ่งดีแต่พูด) นี่คือสูตร “การเมืองน้ำเน่า” ที่คนชั้นกลางเคยเกลียด แต่ตอนนี้หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ถามว่าทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ผู้ว่าฯ วางกลไกรัฐไว้พร้อมหมดแล้ว เด็กภูมิใจห้อยใหญ่คับ นอกจากนี้ยังมีการแต่งตั้งโยกย้ายทหาร ที่ประยุทธ์ดันดาว์พงษ์เพื่อนร่วมรุ่น ผู้มีผลงานปราบม็อบเสื้อแดงเป็น เสธ.ทบ.ถามว่าเสธ.ทบ.สำคัญอย่างไร หนึ่ง การซื้ออาวุธ ต้องผ่านเสธ.ทบ. สอง ตาม พรบ.ความมั่นคงที่จัดตั้ง กอ.รมน.เป็นรัฐซ้อนรัฐ เสธ.ทบ.ก็คือแม่บ้านของรัฐทหาร ถามว่าทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อ 18 อรหันต์แก้ไขรัฐธรรมนูญชุดสมบัติ ธำรงธัญญวงศ์ โผล่มาเสนอให้เลือกตั้งเขตเดียวเบอร์เดียว แต่ลดเหลือ 375 เขต ปาร์ตี้ลิสต์เขตใหญ่ทั้งประเทศ เพิ่มเป็น 125 แถมยังแบะท่าว่า ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรค ไม่ทราบเหมือนกันว่าสมคิด เลิศไพฑูรย์, นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ที่เป็นกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 50 ให้เหตุผลอย่างไรกับการกลับไปกลับมาไม่มีหลัก ลักลั่น ไม่มีเหตุผล เพราะในขณะเดียวกันก็ให้มี สว.แต่งตั้ง 73 คน สว.เลือกตั้ง 77 คนตามจำนวนจังหวัด (เดี๋ยวตั้งจังหวัดที่ 78 ต้องตามแก้รัฐธรรมนูญอีก) สรุปได้ว่าคนกรุงเทพฯ นี่แหละ “ฟาย” ที่สุด เพราะมีประชากรตั้งมากตั้งมายเป็นศูนย์กลางของประเทศ แต่เลือก สว.ได้คนเดียวเท่าระนอง เท่าบึงกาฬ ยังไปเชียร์เขาเย้วๆ แก้แบบนี้เข้าทางใครก็เห็นชัด ภูมิใจห้อยอยากให้เลือกเขตเดียวเบอร์เดียวมานานแล้ว แถมลดเหลือ 375 เขต ก็ต้องให้ กกต.แบ่งเขตใหม่ จะแบ่งเข้าทางใครต้องจับตาต่อไป การลด การลด ส.ส.พื้นที่อาจทำให้อัตราส่วน ส.ส.ภาคเหนือภาคอีสานลดลง ขณะที่ปาร์ตี้ลิสต์เขตใหญ่ 125 คน คราวที่แล้ว ปชป.เชื่อว่าเขาได้พอฟัดพอเหวี่ยง การเลือกตั้งปี 50 ถึงจะใช้กลไกรัฐแทรกแซงอย่างโจ๋งครึ่ม แต่ก็ยังคุมโดยทหารโง่ๆ การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เหมือนกันนะครับ เพราะคุมด้วยนักการเมืองเขี้ยวลาก ที่มีทั้งอำนาจเงิน และมีตำรวจ ทหาร ข้าราชการเป็นเครื่องมือ อ้อ ยังมี “การเลือกตั้งล่วงหน้า” ซึ่งไม่เคยมีที่ไหนในโลก กฎหมายเลือกตั้งตาม รธน.40 ให้เลือกตั้งต่างแดน ต่างเขต และไปลงล่วงหน้าได้ถ้ามีกิจสำคัญ แต่กฎหมายเลือกตั้งตาม รธน.50 และระเบียบ กกต.ชุดปัจจุบัน เปิดให้เลือกตั้งล่วงหน้า 2 วัน เลือกตั้งจริง 1 วัน ใครนึกอยากจะไปลงเมื่อไหร่ก็ได้ เหมือนไปเที่ยวห้าง หย่อนบัตรนอนไว้ในหีบ อีก 7 วันค่อยมาเปิด ไม่เหมือนวันเลือกตั้งจริง เปิดนับกันเห็นๆ ต่อหน้าประจักษ์พยานกองเชียร์ทั้งสองฝ่าย ผมไม่กินเหล้า แต่นึกถึงหัวอกคนกินเหล้าเจ้าของร้านเหล้าผับบาร์แล้วน่าสงสาร เลือกตั้งล่วงหน้าต้องหยุดขายเหล้า 2 วัน เลือกตั้งจริงหยุดแค่วันเดียว บ้าไหม ปัจจัยทุกอย่างจึงบ่งชี้ว่า รัฐบาลจะชนะถล่มทลาย เป็นจุด peak แต่ก็เป็นจุดเสื่อมไปในตัว กับการทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะ โดยถ้ายิ่งยุบสภาเร็ว ก็จะยิ่งชนะมาก แต่ถ้าทอดเวลาไป ไม่แน่เหมือนกัน ปีศาจเสื่อมอาจคลอดก่อนกำหนด ถ้ารัฐบาลชนะถล่มทลาย ถ้าเพื่อไทยแพ้ย่อยยับ แล้วมีผลอะไรไหมกับขบวนประชาธิปไตย มันอาจมีด้านลบอยู่บ้าง แต่อะไรๆ คงไม่แย่ไปกว่านี้หรอก และมีด้านดีด้วยซ้ำ เพราะเราคงไม่หวังจะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแล้วได้พ่อใหญ่จิ๋ว สภาโจ๊ก หรือพ่อไอ้ปื๊ดมาเป็นนายกฯ ยุทธศาสตร์ของฝ่ายประชาธิปไตยจึงเปลี่ยนไปจากเดิมที่ถูกผูกอิงอยู่กับการเลือกตั้ง ที่เคยเชื่อๆ กันก่อนนี้ว่าถ้ายุบสภาเลือกตั้งใหม่แล้วเพื่อไทยจะชนะ (แต่ผมไม่เคยเชื่อ ต่อให้ชนะก็ปฏิรูปประชาธิปไตยไม่ได้ ในเมื่อฝ่ายจารีตนิยมยังกุมอำนาจรัฐราชการ ทหารและตุลาการ อยู่เหนียวแน่น) มาตอนนี้เราต้องอดทนรอความเสื่อมของระบอบอภิสิทธิ์ ซึ่งอาจแบ่งเป็น 2 ขั้นคือความเสื่อมของอภิสิทธิ์จริตนิยม กับความเสื่อมของตัวระบอบอภิสิทธิ์ชน ที่พูดอย่างนี้เพราะตัวบุคคลก็มีความสำคัญ อภิสิทธิ์สำคัญมากในฐานะหน้ากากละครคาบูกิ เอาไว้หลอกคนกรุงคนชั้นกลางบนโพเดียม ถ้าหมดอภิสิทธิ์เมื่อไหร่ พวกเขาไม่มีตัวแทนที่เหมาะสม กรณ์หรือ สุขุมพันธ์หรือ เทือกไม่ต้องพูดถึง ความเสื่อมของอภิสิทธิ์จะไม่ต่างจากชวน คือการอุ้มสมพรรคร่วมรัฐบาลโดยปากอ้างความดีความซื่อ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างเช่น ความมั่วความสุดโต่งสมัยไล่ทักษิณ มันจะย้อนกลับมาเข้าตัว ยกตัวอย่างตอนนี้เงินนอกไหลเข้า หุ้นขึ้น พวกนักวิชาการพันธมิตรบางส่วนที่บ้าต่อต้านโลกาภิวัตน์ก็ออกมาเรียกหาความพอเพียงกันแล้ว หรือที่ว่าสมัยทักษิณแต่งตั้งโยกย้ายเล่นพวก ดูโผตำรวจ โผผู้ว่าฯ ก็ถูกวิจารณ์ขรม ไหนล่ะ “ข้าราชการ ข้าของแผ่นดิน” คนดีที่ก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่แอบอิงนักการเมือง เห็นแต่ศิษย์โรงเรียนเนฯ ทั้งนั้น กลายเป็นทีใครทีมัน ยุคไหนใครมีเส้น ส่วนคนไม่มีเส้น แป๊กทุกยุคทุกสมัย แต่ความเสื่อมของระบอบอภิสิทธิ์อาจจะมาช้าหน่อย เพราะต้องเสื่อมพร้อมกันทั้งชนชั้นนำและชนชั้นกลาง สถาบันสำคัญที่เป็นตัวแทนของชนชั้นกลาง ทั้งสื่อ ทั้งนักวิชาการ ทั้งสิ่งที่เรียกว่าภาคประชาสังคม จะช่วยกันปกป้อง ผ่อนหนักเป็นเบา หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง จนเสื่อมไปด้วยกัน ผมมองว่านั่นคือภาระของคนในภาคประชาสังคมที่ยังยืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ที่จะต้องทำ “สงครามทำลายล้าง” ทางความคิด กับพวกนักบิดเบือนเหล่านี้ โดยไม่มีคำว่าปรองดอง ไม่มีประกาศลงหนังสือพิมพ์ ทางบ้านให้อภัยแล้ว กลับบ้านด่วน ขณะที่นักเคลื่อนไหวก็ต้องพยายามตั้งลำใหม่ ตั้งขบวนใหม่ ยกระดับมวลชนเสื้อแดงให้เป็นมวลชนประชาธิปไตยที่ไม่ผูกติดกับพรรคเพื่อไทย ทักษิณ และแกนนำชุดที่ทำให้พ่ายแพ้มาแล้ว วันนี้มวลชนอาจจะอยู่ในสภาพที่ไร้หัว เคว้งคว้าง ไร้ทิศทาง มีแต่ความคับแค้น และมีบ้างที่อาจจะท้อแท้หมดกำลังใจ แต่คนที่ผ่าน 6 ตุลามาแล้วอย่างพวกผม บอกได้เลยว่ามวลชนเสื้อแดงยังมีมากกว่ามวลชนของพรรคคอมมิวนิสต์ในอดีตอย่างน้อยสิบเท่า ขบวนประชาธิปไตยที่ก่อร่างขึ้นใหม่ไม่จำเป็นต้องมีรูปการจัดตั้งเข้มแข็ง ไม่จำเป็นต้องมีศูนย์การนำ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนจากทักษิณ จตุพร มาเป็นจาตุรนต์ เพราะจะต้องเป็นขบวนที่มีความหลากหลาย เติบโตอย่างเป็นธรรมชาติ เคลื่อนไหวในรูปแบบที่แตกต่างตามเงื่อนไขของตัวเอง มีความเป็นตัวของตัวเองสูง แต่มีอุดมการณ์ร่วมคือเสรีประชาธิปไตยที่เปิดกว้าง เมื่อถึงจุดเสื่อมสุดจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น ยังมองยาก แต่เป็นธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงที่เมื่อสั่งสมทางปริมาณเพียงพอ ก็จะปะทุขึ้น นำไปสู่คุณภาพใหม่ เปรียบง่ายๆ ก็เหมือนทักษิณชนะเลือกตั้งท่วมท้น แค่ปีเดียวล้มพังพาบ หรือใครจะเชื่อว่าสหภาพโซเวียตล่มสลายในช่วงเวลาไม่กี่วันที่เยลต์ซินนำมวลชนลุกฮือ เหมือนมาร์กอส หรือเหมือน 14 ตุลา ที่มีคนออกมาเดินถนนเป็นแสน ทั้งนี้ไม่ใช่เป็นสูตรว่า จะต้องเป็นอย่าง 14 ตุลา อย่างอาควิโน อย่างพธม. ผมเพียงจะเน้นว่าตัวอย่างเหล่านี้เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างธรรมชาติ ไม่มีใครวางแผนไว้ได้ ไม่มีใครคาดคิด แม้แต่ตัวเยลต์ซิน อาควิโน หรือว่าเสกสรรค์ ฉะนั้น กระบวนการต่อสู้ที่เป็นธรรมชาติ จึงไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างที่เสกสรรค์พูดว่า “การปฏิวัติมันเป็นเรื่องใหญ่กว่าการใช้ความรุนแรง มันต้องมีโปรแกรม มีพิมพ์เขียวของสังคมในอนาคต มีจินตนาการใหม่เกี่ยวกับโลกและชีวิต นอกจากนี้ยังต้องมีการจัดตั้งกำลังที่มีวินัย มีจิตสำนึกชัดเจนว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ส่วนการนำก็ต้องปราศจากผลประโยชน์ส่วนตัว อีกทั้งมีความเชี่ยวชาญจัดเจนในเรื่องยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีการเคลื่อนไหว มีการกำหนดเป้าหมายขั้นตอนที่จะสะสมชัยชนะ สิ่งเหล่านี้ผมในฐานะผู้สังเกตการณ์ยังมองไม่เห็น” แปลว่าตอน 14 ตุลา เสกสรรค์มองเห็น? เสกสรรค์มีโปรแกรมมีพิมพ์เขียว? ขบวนปฏิวัติแบบที่เสกสรรค์พูดตกยุคไปแล้ว ผมไม่เชื่อเรื่องขบวนปฏิวัติที่มีการจัดตั้ง มีกองกำลังที่เป็นเอกภาพ ผมเชื่อว่าเราต้องมียุทธศาสตร์ยุทธวิธีคร่าวๆ มีอุดมการณ์กว้างๆ แต่ให้ความเปลี่ยนแปลงมันเป็นไปโดยธรรมชาติมากกว่า ที่สำคัญคือเราต่อสู้เพื่ออุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย ไม่ใช่อุดมการณ์สังคมนิยมที่ต้องไปฝังหัวใคร แล้วก็ไม่ใช่ว่าถึงชัยชนะแล้ว จะต้องเอาพิมพ์เขียวไปบังคับใคร เพราะเราแค่ต้องการทลายอำนาจที่ปิดกั้น เสรีประชาธิปไตยคือทุกคนมีเสรี ยกเว้นพวก พธม.ไม่ให้มีเสรี เพราะพวกนี้ไม่ต้องการประชาธิปไตย ต้องการ 70-30 (ฮา) เอาแค่ที่บอกว่าการนำต้องปราศจากผลประโยชน์ส่วนตัว ก็ผิดแล้ว (ถ้าอย่างนั้นก็เอาพระนำสิ หามมาเลย) การต่อสู้วันนี้เป็นเรื่องอำนาจและผลประโยชน์ทางชนชั้น ถ้าผลประโยชน์สอดคล้อง ใครนำก็เอาด้วย ดูอย่างสนธิสิ ปราศจากผลประโยชน์ส่วนตัวไหม พันธมิตรก็ยังยอมรับเป็นศาสดา ใบตองแห้ง
9 ก.ย.53