ที่มา thaifreenews
โดย ลูกชาวนาไทย
ตอนนี้มีข่าวว่าหากแก้รัฐธรรมนูญเสร็จ จะมี สส. พรรคเพื่อไทยย้ายไปอยู่พรรคภูมิใจไทย 70คน หรืออะไรประมาณนี้แหละ ตัวเลขที่ฟังมาอาจเวอร์ไปหน่อย แต่ผมคิดว่าคงมีตัวเลขอยู่บ้าง อาจ 5-10 คน
นอกจากข่าวนี้แล้ว มีข่าวว่าตอนนี้ฝ่ายทหารเคลื่อนไหวในพื้นที่พอสมควร อาจมีการขู่เข็ญหรือสร้างสถานการณ์เพื่อให้ สส.พรรคเพื่อไทยย้ายพรรคนี่เป็นสองประเด็นที่ผมจับความได้ และพวกเราเสื้อแดงบางคนก็กังวลใจเรื่องนี้พอสมควร โดยเฉพาะคนที่ใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทย หรือคิดว่าสมัยหน้าระบบการเมืองอาจะกลับไปเป็นแบเดิมอีก
สำหรับผมเองแล้ว ผมไม่ค่อยได้วิตกกังวลกับประเด็นนี้เท่าไหร่นัก แต่ผมกลับรู้สึกตรงกันข้ามว่า หาก สส.ที่ไม่ภักดีต่อพรรคเพื่อไทยหรือขบวนการเสื้อแดง หรือฝากฝ่ายเราจริงๆ หากพวกนี้ย้ายไป ก็จะเป็นการดีมาก เพราะนี้คือ "โอกาสการปรับปรุงพรรคเพื่อไทย" ครั้งใหญ่ทีเดียว ชำระน้ำเก่าที่ท่านนายกฯทักษิณ จำต้องนำเลือดต่างๆ เข้ามาผสมตอนตั้งพรรคไทยรักไทย เพื่อให้สามารถเป็นพรรคใหญ่และตั้งรัฐบาลได้ นั่นเป็นความจำเป็นในช่วงก่อร่างสร้างตัว แต่ตอนนี้ฝ่ายประชาธิปไตย เสื้อแดงมีพลัง มีตัวตนพอสมควรแล้ว มีฐานที่มั่น ฐานคะแนนที่หนาแน่นพอสมควร โอกาสที่จะชำระพรรคเพื่อให้เป็นพรรคทางอุดมการณ์ของประชาชนรากหญ้า ก็มีมากขึ้น
หาก สส.พวกนี้ไม่ย้ายไป เราก็คงไล่พวกเขาไปไม่ได้ เพราะพวกเขาไม่ได้ทำผิดอะไร โอกาสที่เราจะเอาคนใหม่ที่เป็นแกนนำเสื้อแดงไปลงแทนก็น้อยลง
ตอนนี้ ผมคิดว่า "ข้อสสมมุติฐาน" ทางการเมืองของผมที่ท่าทาย ต่อความเป็นความตายของการเมืองในอนาคต ชี้ว่าประเทศไทยได้พัฒนาไปแล้วหรือยัง หรือยังย่ำอยู่กับที่
ข้อสมมุติฐานของผมคือ "พฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชนเปลี่ยนไปแล้ว คนเลือกพรรคมากกว่าเลือกตัวบุคคล" แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซนต์ แต่แนวโน้มเป็นเช่นนี้เกินกว่า 70-80 % แล้ว อาจมีบางพื้นที่ แถวๆ ภาคกลาง และภาคอีสานตอนล่างไม่กี่เขตเลือกตั้ง ที่ "ความนิยมเลือกตัวบุคคลยังมีกว่าการเลือกพรรค"
หากข้อสมมุติฐานนี้ไม่จริง การต่อสู้ที่ผ่านมาของเสื้อแดงในระยะเวลา 4 ปีนี้ ก็สูญเปล่า บาดเจ็บล้มตายไปก็กลายเป็นอากาศธาตุ เพราะหาก คนยังเลือกตัวบุคคล ระบบอุปถัมป์ท้องถิ่นมากกว่าเลือกระบบพรรค การเมืองไทยก็ย้อนกลับไปสู่ระบบก่อนปี 2540 พวกเนวิน สุวัฒน์ และกลุ่มต่างๆ ก็มีการต่อรองกันแบบรัฐบาลยุคอภิสิทธิ์นี้อีก
แสดงว่าคนไทยไม่พัฒนา ไม่เรียนรู้ เรายังก้าวหน้าไม่มากพอ
หากเป็นอย่างนี้เราก็ต้องทำใจครับ
แต่หากข้อสมมุติฐานของผมเป็นจริงคือ "คนมีการเรียนรู้" แบบที่ฝรั่งเรียกว่า Learning Curve พัฒนาลองผิดลองถูกและเมื่อเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงแล้ว พวกเขาจะเปลี่ยพฤติกรรมไปอย่างถาวร ไม่ย้อนกลับไปสู่ความเคยชินเก่าๆ อีก
หากเป็นแบบนี้คือ คนเลือกพรรคมากกว่าเลือกบุคคล ตามข้อสมมุติฐานของผม การย้ายพรรคของ สส.เพื่อไทยกลุ่มนี้คือ จุดจบทางการเมืองของพวกเขา
ผมตั้งข้อสมมุติฐานนี้มา 4 ปีแล้ว ตัวอย่างชัดเจนมีตั้งแต่การเลือกตั้งใหญ่สองสามครั้งหลังนี้เราเห็นแนวโน้มชัดเจนว่าคนเลือกพรรคมากกว่าเลือกตัวบุคคล
วิกฤติการณ์การเมือง 4 ปี ผ่านมาที่เสื้อแดงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ การชุมนุมแต่ละครั้งมีคนเข้าร่วมหลายแสนคน และการเมืองไทยแบ่งเป็นระบบสี คือ สีแดงกับสีเหลือง ซึ่งหากมองแบบหยาบๆ คือ คนไทยแตกแยก แบ่งออกเป็นสีเป็นพวก แต่หากมองแบบนักวิเคราะห์ทางการเมือง คำว่าสีในการเมืองไทยขณะนี้คือ ตัวแทนของอุดมการณ์ทางการเมือง เรียกว่าเป็นการต่อสู้ระหว่าง อนุรักษ์นิยม (สีเหลือง) กับ พวกก้าวหน้า (Progressive) คือ สีแดง (ลิเบอรัล+โซเชียลลิสต์)
พลังทั้งสองกระแสนี้บ่งบอกได้ว่าคนเลือกข้าง และมันจะส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สี่ปีมานี้ความขัดแย้ง การเข้ามามีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือที่เรียกกันว่า mobilized ทำให้กระแสอุดมการณ์ต่างๆ ถูกกระตุ้นและคนเรียนรู้แบบเข็มข้น ถึงเจ็บถึงตาย สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการเลือกตั้งของคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากสมมุติฐานข้อนี้เป็นจริง พวกที่ย้ายพรรคไปภูมิใจไทย หรือพรรคอื่นๆ ก็จบอนาคตทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง
ไม่มีพื้นที่ว่างให้กับพวก ทางเลือกที่สาม หรือพวกไม่มีสี มากนัก การประกาศว่า ไม่เลือกข้าง ก็คือประกาศว่าไม่มีอุดมการณ์ทางการเมือง นั้นผมว่าเป็นเรื่องตลก เพราะถึงเวลาเลือกตั้ง ก็ต้องตัดสินใจว่าเลือกอนุรักษ์นิยม หรื ก้าวหน้า และผมฟันธงว่าพวกกระแดะที่บอกว่าไม่เลือกข้างคือพวกอนุรักษ์นิยม เขาไม่เอาเสื้อแดง และ พธม. เท่านั้น แต่เขาเอาประชาธิปัตย์ ซึ่งตามที่ผมกล่าวมาคือ พวกอนุรักษ์นิยมนั้นเอง
การย้ายพรรคของ สส.เพื่อไทย หากจะมีขึ้น นี่คือโอกาสที่จะปรับปรุงพรรคอย่างขนานใหญ่เลยทีเดียว ผมว่าท่านนายกฯทักษิณ ก็น่าจะรับรู้ถึงอารมณ์และกระแสนี้แล้ว การต่อสู้ทางการเมืองยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นการถือโอกาสนี้ปรับปรุงพรรค จัดพื้นที่ให้แกนนำเสื้อแดงพื้นที่ต่างๆ เข้าไปเป็นผู้แทนในการลงเลือกตั้ง ผมว่านี่คือ ประสานพรรคเข้ากับคนเสื้อแดงอย่างดีที่สุด และแกนนำเสื้อแดงที่เข้าไป ไม่จำเป็นต้องเป็นคนมีเงิน แบบเงื่อนไขหลักของการเมืองก่อนปี 2540 มากนัก ขอแค่ทำงานในพื้นที่อย่างเข็มแข็งและคนเสื้อแดงในพื้นที่เขาเลือกขึ้นมา ก็เป็นต้วแทนพรรคได้
เรื่องทุนนั้นผมว่าท่านายกฯ ทักษิณ ไปอยู่ในตลาดทุนระดับโลก คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด และเมื่อมีกระแสอยู่ การใช้เงินก็ลดลงไปมาก เพียงแต่สร้างเครือข่ายการจัดตั้ง สร้างระบบคัดเลือกตัวแทนในระดับเขตต่างๆ ให้เขาเรียนรู้ เช่น ส่งลง อบต./อบจ. สำหรับคนที่มีบทบาทในท้องถิ่น สำหรับคนที่มีบทมากขึ้น ก็ส่งลงระดับ สส.
นี่คือ โอกาสในวิกฤติที่จะพัฒนาระบบการเมืองไทยในอนาคตมากกว่ามองสั้นๆ
ผมแนะนำให้ สส. เพื่อไทยที่อยากย้ายพรรค รีบ ๆ ไปเลยนะครับ อย่าหาว่าไล่เลย ไม่ได้เสียดายเลยครับ
Re:
ผมลืมเขียนอีกประเด็นหนึ่งนะครับ คือ ข่าวที่ว่ามีการเคลื่อนไหวในวงการทหาร ในพื้นที่ต่างๆ
คือ มันสอดคล้องกับประเด็นแรกครับ คือ ฝ่ายอำมาตยาธิปไตย ต้องการดึงการเมืองไทยกลับไป "ปักหมุดไว้แบบก่อนปี 2540" หรือเราอาจจะเรียกว่า การเมืองระบบเครือข่ายก็ได้ครับ มีเครือข่ายตั้งแต่อำนาจระดับบน ผ่านพวก "คนชั้นสูงต่างๆ"และพวก พล.อ.เปรม อะไรพวกนี้ เข้าไปสร้างเครือข่ายเพื่อควบคุมระบบสังคมไว้แบบที่เราเห็นก่อนปี 2540 สิ่งที่คนพวกนี้ต้องการคือ "ระบบการเมืองแบบหลายพรรค" แต่ละพรรคไม่มีอุดมการณ์อะไร คือ คนเลือก สส.ตามความนิยมส่วนตัว แล้ว สส.ก็ไปรวมกันตั้งพรรค สร้างเครือข่ายล็อบบี้ การต่อรองระดับชาติ ซึ่งระบบแบบนี้พวกคนชั้นนำ จะทำหน้าที่เป็นล็อบบี้ยิสต์ ได้อย่างดี และอำนาจจะไปรวมศูนย์กับโครงสร้างอำนาจเดิม
การเคลื่อนไหวของทหาร ก็เพื่อดึงระบบกลับไปสู่ระบบนี้แหละครับ คือเขาคิดว่าหากทำลายพรรคเพื่อไทยได้ ระบบแบบ เนวิน บรรหาร สุวัฒน์ พวกเขาสามารถควบคุมได้มากกว่า
แต่การเข้าไปของทหารในพื้นที่ หรือพวกคนชั้นนำ เขาก็ต้องมี "อุดมการณ์" ทางการเมืองเข้าไปขายกับชาวบ้าน
ผมไม่คิดว่า "ทหารที่เข้าไปตอนนี้ "จะมีสินค้าอะไรไปขายนะครับ นอกจากสินค้าเก่า ที่ชาวบ้านหน้าเบ้กันแล้ว ประเภทยกยอตัวบุคคลแบบเทพเจ้าอะไรนี่ มันเป็นสินค้า หรืออุดมการณ์ที่ขายไม่ได้ในศตวรรษที่ 21 นี้แล้ว
พวกเขายังดื้อรั้นที่จะขายสินค้าตัวเดิม ในราคาที่สูงลิ่วอยู่อีก ทั้งๆ ที่คนชนบทเขาก็หูตาสว่างกันแทบหมดแล้ว
พวกที่ยังนิยมอยู่ ก็เอามาอวดบ้านข้างๆ ไม่ได้แล้วว่า ชั้นชอบสินค้ายี่ห้อนี้ ชั้นใช้อยู่ คนฟังก็จะหน้าเบ้ มองดูเหยียดๆ ว่ายังโง่เขลาอยู่ ผมว่าพวกชอบสินค้าแบบนี้ ไม่กล้าโชว์เท่าไหร่แล้ว เพราะมันบอกถึงรสนิยมที่ล้าหลัง
ดังนั้น ผมจึงไม่คิดว่าการเข้าไปของทหารจะมีพลังเพียงพอเหมือนกับช่วงก่อนปี 2520 ยุคการต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์
อย่างมากพวกนี้ก็คงโกงเลือกตั้ง แต่ทำแบบนั้นวิกฤติก็ยิ่งถลำลึกไปสู่จุดจบมากยิ่งขึ้น
และผมไม่กลัวเลยที่พวกเขาจะทำ เพราะการต่อสู้มันจะไปถึงจุดสุดท้ายเรือยๆ
หากเอาชนะทางอุดมการณ์ไม่ได้ พวกอำมาตย์ไม่มีทางชนะในสงครามนี้