ที่มา ประชาไท
จากจำนวนผู้เสียชีวิตในพื้นที่บริเวณบ่อนไก่-พระราม4 ทั้งหมด 15 คน ในช่วง 6 วันของการล้อมปราบนั้น มี 4 ชีวิตเป็น “สมาชิกในชุมชนบ่อนไก่” นอกจากนั้นยังมีอีก 1 ชีวิต ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและชีวิตเขาไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว
การนับแค่จำนวนตัวเลขผู้เสียชีวิตว่ามากขนาดไหน อาจจะจำเป็นเพื่อบอกว่า “รุนแรง” แค่ไหน แข่งกันว่าใคร “โหดเหี้ยม” กว่ากัน แต่ตัวเลข คือ ตัวเลข แต่ไม่มีชีวิต จุดเริ่มต้นและพื้นฐานที่สำคัญของการ “มากกว่า” การนับศพ และเพื่อไปต่อในที่อื่นๆ คือ การได้ยิน “เสียงผู้สูญเสีย”
สำหรับขบวนการเคลื่อนไหวแล้ว ย่อมมีภาระหน้าที่ผูกพันบางประการต่อเขาเหล่านั้น ทั้งที่เป็นสมาชิกของขบวนการ และประชาชนทั่วไปที่เป็นเหยื่อของเหตุการณ์ความรุนแรง และคนที่อยู่ข้างหลัง
ข้างล่างนี่คือ บางส่วนของ “เสียงผู้สูญเสีย” ในชุมชนบ่อนไก่
นายบุญมี เริ่มสุข วันเกิด 5 กุมภาพันธ์ 2483 อายุ 71 ปี ที่อยู่ 155 ซ. ปลูกจิตต์ ถ.พระราม 4 แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ อาชีพ ค้าขาย สาเหตุการตาย ติดเชื้อในกระแสเลือด (อันเนื่องจากบาดแผลที่ถูกยิงบริเวณหน้าท้อง กระสุนทะลุลำไส้หลายแห่ง) วันและสถานที่เกิดเหตุ ถูกยิงขณะออกไปรับประทาน หน้าร้านระเบียงทอง ปากซอยปลูกจิตต์ วันที่ 14 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 16.00 น. เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล และเสียชีวิตในวันที่ 28 กรกฎาคม 2553 |
“พอร่างกายแข็งแรง ก็เลยว่าจะมาผ่าตัดใหญ่ที่โรงพยาบาลตำรวจ แต่อยู่เจริญกรุงผ่าไปแล้ว 3 ครั้ง หมอก็ทำอะไรไม่ได้ก็แค่เย็บลำไส้ด้านใน แล้วจะมาผ่าตัดที่โรงพยาบาลตำรวจเอาลำไส้เข้าไปด้านใน”
“คุณลุงทรมานมาก กินอะไรไม่ได้เลย... รู้สึกตัวตลอด แต่สภาพจิตใจแกแข็งแรง พูดอะไรได้ดีตลอด แต่เขาก็ไม่โกรธใครนะ เพราะไม่เห็นคนยิงคนอะไร”
“หลังจากลุงโดนยิงก็ไม่ได้ทำอะไรเลย พยายามรักษาตัวเขา ไม่มีรายได้ ตอนนี้เราก็ไม่มีใครแล้ว เหลืออยู่ 2 คนกับหลาน ก็ประหยัดๆเอา”
“เสียใจที่เสียคุณลุงไป เสียใจมาก แต่ก็ไม่โกรธใคร เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิง คุณลุงเขาก็ดีนะ เขาไม่โกรธใคร เขาพูดว่านึกว่าเป็นคราวเคราะห์... ไปเกิดกับใครเขาก็เสียใจ เราก็เสียใจที่สุด ไม่อยากให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก
“เมื่อก่อนลุงกลับมาจากขายปุ๋ยทีหนึ่งลูกก็มากัน เดี๋ยวนี้คล้ายกับมันเหงา มันเงียบ มาทีหนึ่งเขาก็ร้องไห้ เห็นรูปคุณลุงเขาก็ร้องไห้ตลอด เหมือนว่าขาดสมาชิกในครอบครัวไป มันก็มีแต่ความเงียบ”
นันทพร เริ่มสุข
ภรรยาบุญมี เริ่มสุข
นายเสน่ห์ นิลเหลือง วันเกิด 9 มกราคม 2505 อายุ 48 ปี ที่อยู่ 185 ซ.แสนสุข แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ อาชีพ ขับรถแท็กซี่ สาเหตุการตาย บาดแผลกระสุนลูกโดดบริเวณหน้าอกทะลุเส้นเลือดใหญ่และปอด วันและสถานที่เกิดเหตุ ถูกยิงที่หน้าปั๊มน้ำมัน ปตท. ขณะเดินทางไปแฟลตตำรวจ สน. ลุมพินี เพื่อเปลี่ยนรถ วันที่ 14 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 18.00 น. เสียชีวิตขณะนำส่งโรงพยาบาล |
“เขาไปชุมนุมตั้งแต่เป็น นปก. พี่ยังไม่รู้เลยว่าเขาไปตรงนั้น เขาถามว่าแกไปสมัยไหน พี่บอกว่าธันเดอร์โดม เขาพูด แกล้าหลังแล้ว ฉันนะไปตั้งแต่สนามหลวง... เราไม่ใช่แดงล้มเจ้า เจ้าก็อยู่ส่วนเจ้าไป แต่นี่ประชาธิปไตยเป็นของประชาชนทุกคน ไม่ใช่ของเจ้าคนเดียว”
“รัฐประหาร เขาไม่เอาเลย เหมือนเป็นการลิดรอนสิทธิของประชาชน ในโลกนี้มันไม่น่ามีแล้วเผด็จการ มันต้องเป็นการปกครองโดยอิสระ ให้ประชาชนตัดสินใจ ถ้าประชาชนตัดสินใจผิด ประชาชนก็ต้องยอมรับว่าตัดสินใจผิดไปแล้ว เลือกมาแล้วก็อยู่ตามวาระ ถึงเวลาก็เลือกกันใหม่ ประชาชนรู้แล้วว่ามันไม่ดี ทีหลังก็อย่าไปเลือก เขาพูดกับพี่เรื่องนี้ ตอนรัฐประหารเขาก็ออกไป”
“ดูเหมือนตำรวจไม่ค่อยอยากทำคดีให้เลย มีความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เรารู้ว่าสู้อยู่กับใคร แต่ว่าคุณก็ไม่มีสิทธิที่จะเอาชีวิตใครไป มันเป็นความสุขที่ครอบครัวเรามีพร้อม แล้วคุณดึงความสุขของเราตรงนี้ไป เขาไม่ได้เจ็บไข้ ไม่ได้ป่วยตาย มันไม่ยุติธรรมสำหรับประชาชนเลย”
“มันมีธงฟันอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่รัฐถึงแม้เขาจะยิงประชาชน เขาก็บอกว่าเขาถูกเพราะทำตามหน้าที่ แต่มีกฎหมายข้อไหนบอกว่าให้ยิงคนได้ นักโทษประหารเขายังต้องหลายขั้นตอนของศาลจึงจะตัดสินได้ แต่นี่เขามาชุมชุม”
“เรารู้สึกว่า เขาไม่น่าจากเราไปในสภาพแบบนี้ ในขณะนี้ แต่ถามว่าเขาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เราภูมิใจในตัวเขา... จิตใจมันเยียวยาด้วยเงินทองไม่ได้ ถ้าเราได้เงินมาแล้วเราเสียน้องไป เราไม่เอา เราอยากได้น้องเราคืนมากกว่า ไม่ว่าเขาจะสู้เพื่อประชาธิปไตยหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นเหลืองเป็นแดง เขาก็ไม่ควรที่จะสูญเสียชีวิตไปแบบนี้”
อุบลวดี จันทร
พี่สาวเสน่ห์ นิลเหลือง
3. นายมานะ แสนประเสริฐศรี วันเกิด 12 ธันวาคม 2531 อายุ 21 ปี ที่อยู่ 4/31 ถ.เชื้อเพลิง แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ อาชีพ ขับรถแท็กซี่ อาสาสมัครปอเต็กตึ๊ง สาเหตุการตาย บาดแผลกระสุนปืนทำลายสมอง วันและสถานที่เกิดเหตุ ถูกยิงหน้าธนาคารกสิกรไทย ปากซอยงามดูพลี ขณะทำหน้าที่อาสาสมัคร เข้าไปช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ วันที่ 15 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 17.00 น. เสียชีวิตทันที |
"ถ้ารู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ตอนนั้นจะดึงมือลูกไว้ มานะเป็นลูกชายคนเล็ก ทำให้มีความผูกพันมาก ทำงานอาสากู้ภัยมาตั้งแต่อายุสิบกว่าปี ตั้งแต่ปั่นจักรยานไปกับทำงานกับรุ่นพี่ พอขายของได้ ขายขนมปังปิ้ง ไข่ปิ้ง เก็บเงินได้ ก็เอาไปซื้อมอเตอร์ไซด์ออกไปช่วยไฟไหม้ ตอนหลังก็เก็บเงินไปผ่อนแท็กซี่
“เวลาจะไปไหน รถแท็กซี่เขาก็จะมีอุปกรณ์อาสากู้ภัยไปด้วย ถ้าตรงไหนมีไฟไหม้ จะต้องให้ผู้โดยสารลงก่อน ไม่เอาเงิน แล้วก็ไปช่วย ตามถนนอย่างนี้ ถ้ามีภัยก็จะไปช่วยเอาขึ้นรถ กลางคืนก็แต่งตัวไปอยู่หน่วย ตอนเช้าก็จะกลับมา”
“วันนั้นขับรถไม่ได้ เพราะมีการปะทะกัน ก็อุตส่าห์ขับรถมอเตอร์ไซค์อ้อมออกไปที่งามดูพลี ใส่หมวกไฟไหม้ไปด้วย แต่ก็ไม่กล้าใส่ชุดกู้ภัยไป ไว้ในรถมอเตอร์ไซค์ เพราะปอเต็กตึ๊งเขาพูดกัน เดี่ยวเขาจะหาว่าเป็นการ์ด นปช. ไปช่วยกับเพื่อนที่อยู่แถวนั้น”
“มีคนถามว่า เขาให้มา 4 แสน คุ้มไหม รัฐบาลให้มา อั๊วก็ว่าไป อั๊วเลี้ยงลูกคนนี้มากี่ล้าน มีคนถามว่าจะเอาโน่นเอานี้ไหม เอาที่ปิ้งขนมปังไหม อั๊วว่าจะเอามาทำอะไร”
“ไม่ต้องพูดหรอกว่าเป็นอย่างไร ทุกคนสูญเสียลูกแล้วก็ต้องรู้ว่าเป็นอย่างไร ที่ทำอย่างนี้นะ จิตใจดำมากเลย จิตใจดำมากที่ทำอย่างนี้ ทำโดยไม่สนใจว่าใครจะตายจะเป็นอย่างไร ถ้าตัวเขาตายมั่งจะเป็นอย่างไร ในครอบครัวเขา ถ้าตายจะเป็นอย่างไร เจ็บแค้นมากตอนนั้น”
“ตอนแรกๆ ก็ไม่กล้าบอกว่าใครยิงลูกชาย แต่ตอนนี้กล้าแล้ว ใครมา ใครถาม ก็บอกว่าทหารยิง มายิงลูกเราทำไม ลูกเราไปช่วยคนอื่น”
นารี แสนประเสริฐศรี
มารดามานะ แสนประเสริฐศรี
นายสมัย ทัดแก้ว วันเกิด 19 พฤษภาคม 2518 อายุ 35 ปี ที่อยู่ 83 หมู่ที่ 8 ต.แข้ อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ อาชีพ พนักงานรักษาความปลอดภัย สาเหตุการตาย โลหิตติดเชื้อ (เนื่องจากบาดแผลที่ถูกยิงบริเวณด้านหนัง ตัดลำไส้ใหญ่) วันและสถานที่เกิดเหตุ ถูกยิงขณะเดินทางไปทำงาน หน้าธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลุมพินี วันที่ 16 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 19.00 น. เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล และเสียชีวิต 31 พฤษภาคม 2553 |
“ตอนที่เขาทำนากับพี่สาวอยู่บ้านนอก เขาไม่เคยขายข้าวได้สามสี่หมื่นบาท เพิ่งจะมาขายได้ปีแรก ก็มาโดนยึดอำนาจซะ เขาชอบทักษิณ”
“ก่อนเหตุการณ์ป้าอยู่ที่ศรีสะเกษ วันที่ 16 นั่งรถไฟกลับมา เป็นห่วงน้องชาย เพราะโทรมาทีไรก็ได้ยินแต่เสียงปืน กลางวันเขาออกไปชุมนุม กลางคืนไปทำงาน วันที่โดนยิงเขาจะออกไปทำงาน”
“ตอนอยู่โรงพยาบาล เขาบอกว่า พี่ผมไม่รอดหรอก ก็ไปจับมือเขาบอกว่าไม่เป็นไรหรอก เขาบอกว่าทรมานเหลือเกิน ช่วยบอกให้หมอฉีดยาตายให้หน่อย”
“ทำไมมันเป็นแบบนี้ ทำไมคนไทยด้วยกัน ต้องเอาอาวุธสงครามออกมาใช้กับประชาชน รู้สึกว่าหมดแล้ว ความศรัทธาหรืออะไรที่เคยมี หมดสิ้นทุกอย่าง”
“เอาอาวุธมายิงคนมือเปล่ามันไม่ได้ จะเอาชีวิตคนคืนมามันก็ทำไม่ได้ รัฐบาลต้องรับผิดชอบ จะเป็นอะไรป้าก็ไม่รู้ แล้วแต่จะคิดว่าจะรับผิดชอบแบบไหน ออกมาขอโทษหรืออะไร มีคนเยอะที่ครอบครัวเขาล้มหายตายไป”
“คนเราจะจนจะรวยต้องอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน อย่าคิดว่าคนจนต้องใช้กฎหมายหนึ่ง คนรวยต้องใช้กฎหมายหนึ่ง มันไม่ยุติธรรม ถึงเราจะเป็นคนจนก็จริงแต่เราก็เป็นคน แต่เขาไม่มองเราว่าเป็นคน”
วิรินทร์ ทัดแก้ว
พี่สาวสมัย ทัดแก้ว
บาดเจ็บสาหัส นายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง อายุ 54 ปี ที่อยู่ 14/94 ซ. ปลูกจิตต์ ถ.พระราม 4 แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ อาชีพ ค้าขาย (ส่งขนมตามร้านต่างๆ) สาเหตุการได้รับบาดเจ็บ ถูกยิงเข้าบริเวณด้านหลังทะลุปอดและถูกไขสันหลัง ทำให้พิการถาวร ตั้งแต่ช่วงอกจรดปลายเท้า วันและสถานที่เกิดเหตุ ถูกยิงขณะรอรถประจำทาง ป้ายรถเมล์ใกล้สะพานลอย ฝั่งบ่อนไก่ วันที่ 14 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณหลังเที่ยงวัน |
“เราเห็นด้วยกับการทำงานของเขา เมื่อก่อนเราไม่เห็นว่ามีรัฐบาลไหนที่ทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น จนกระทั่งคุณทักษิณเข้ามา ทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลง พอเขาเข้ามาเราก็เห็นประโยชน์ แต่ไม่รู้ซึ้งมาก พอเขาไม่อยู่แล้ว จึงเห็นประโยชน์ที่เขาทำไว้มากมายให้กับพวกเรา”
“ตอนนั้นไม่คิดว่าเฮียเขาจะพิการ คิดว่าเฮียโชคร้ายจังเลยที่โดยยิง เดี๋ยวผ่าออกมาแล้วก็คงจะปกติ... ทุกทุกวันนี้ก็ยอมรับไม่ได้ว่าเฮียพิการ ยังคิดว่าเขายังเหมือนเดิม เวลาใครถามพี่ก็ไม่อยากบอก”
“เขาเป็นผู้ชาย หัวหน้าครอบครัว ถ้าเขาพิการ ความรู้สึกมันแย่ เหมือนว่าเราอยากให้เขาเป็นเสาหลักของเรา อยากให้เขากลับมาดูแลเราเหมือนเดิม ลูกเราก็ยังเรียนอยู่ ไม่อยากให้ลูกรู้สึกว่าตอนนี้ครอบครัวเราแย่หรืออ่อนแอ”
“ความรู้สึกแรกที่รู้ว่าลุงเดินไม่ได้แล้ว รู้ทันทีว่าความลำบากมาเยือนเราอย่างถาวร กลุ้มใจว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไร... เรากลัวว่าจะหาเงินเลี้ยงลูกได้อย่างไร แล้วเราจะทำอย่างไร แล้วเฮียพิการจะอยู่ได้นานไหม ถ้าเฮียตายแล้วเราจะอยู่กับใคร เรามีอยู่กันแค่สี่คนเอง”
“เราต้องช่วยเหลือตนเอง สำหรับคนที่มาช่วยเหลือ ขอบคุณมาก แต่ขอว่าให้ช่วยเราให้ผ่านช่วงยากลำบากนี้ไป พอมีงานทำที่มั่นคง พอเลี้ยงตัวเองได้”
วรานิษฐ์ อัศวสิริมั่นคง
ภรรยาฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง