ที่มา มติชน
โดย ฐากูร บุนปาน
(ที่มา คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวันฉบับประจำวันที่ 1 มีนาคม 2554)
เมื่อวันที่ 7 แกนนำ นปช.ได้รับอนุมัติให้ประกันตัว หลังจากถูกกักขังอยู่ในเรือนจำเป็นเวลาร่วม 9 เดือน
คุณธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช.คนปัจจุบัน และเป็นภรรยาของ น.พ.เหวง โตจิราการ หนึ่ง 7 แกนนำที่ได้รับการปล่อยตัว เอ่ยปากว่านี่คือ
รุ่งอรุณของความยุติธรรม
ซึ่งในบางแง่ก็อาจจะจริง แต่ต้องขออนุญาตแสดงความเห็นต่างเอาไว้ด้วยว่า
ในอีกหลายแง่และสำหรับอีกหลายคน นี่เพิ่งจะผ่านเที่ยงคืนไปเสียด้วยซ้ำ
อีกหลายชั่วโมงนักกว่าจะเห็นแสงเงินแสงทองที่ปลายขอบฟ้า
อย่างน้อยสำหรับ 151 ผู้ถูกจับกุมในคดีการเมืองหลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2554 นั่นก็พวกหนึ่งละ
กว่าครึ่งหรือกว่าค่อนของคนเหล่านั้น มีรายงานของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม-หน่วยงานของรัฐบาลเองแท้ๆ มายืนยันให้ว่า
ถูกจับกุมคุมขังโดยไม่มีความผิด ถูกตั้งข้อหาเกินกว่าที่กระทำจริง และหลายคนในนี้ถูกซ้อมถูกทารุณให้สารภาพในความผิดที่ตัวเองไม่ได้ทำ
ทั้งกรรมการชุด คอป.ของนายคณิต ณ นคร (ซึ่งรัฐบาลก็ตั้งขึ้นมาเองอีกเหมือนกัน) และกรมคุ้มครองสิทธิฯ เสนอรายงานว่าควรจะปล่อยตัวคนเหล่านี้ไปตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว
รัฐบาลก็ทำเหมือนหูทวนลม
อ้างเหตุขัดข้องทางเทคนิคสารพัด เช่น หลักทรัพย์ประกันตัวหรืออื่นๆ
ถามว่า ถ้าตั้งใจจะหยิบยื่นความเป็นธรรมให้กับสังคม โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ได้กระทำผิดจริง
เรื่องพวกนี้จะยากสักแค่ไหนเชียว
ถ้านายกรัฐมนตรีเอาจริง (อย่างที่ปากพูด) สั่งวันนี้ เผลอๆ พรุ่งนี้ก็จบ
นี่ยังไม่นับกรณีล่าสุดที่ดีเอสไอออกมาใช้ความเห็นของคนที่ไม่ได้ร่วมผ่าศพพิสูจน์แล้วระบุทันทีว่านายฮิโรยุกิ มุราโมโตะ ผู้สื่อข่าวญี่ปุ่นที่เสียชีวิตที่สี่แยกคอกวัว
เสียชีวิตด้วยกระสุนอาก้า ซึ่งไม่มีใช้ในราชการหรือกองทัพไทย
อ้าว-แล้วจะให้ประเมินการแถลงที่ผ่านๆ มา ซึ่งระบุว่า นายมุราโมโตะน่าจะเสียชีวิตจากฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐอย่างไร
คำแถลงหนไหนเชื่อไม่ได้
หรือเชื่อไม่ได้ทั้งหมด?
ชะตากรรมของ 151 ผู้ต้องขังก็ดี ความไม่น่าเชื่อถือของดีเอสไอก็ดี ชวนให้คิดถึงภาษิตโบราณที่ว่า
อาชญากรรมนั้นว่าเลวร้ายแล้ว แต่การปกปิดอาชญากรรมนั้นเลวร้ายไม่น้อยไปกว่ากัน
ฉะนั้น ยังไม่ควรจะด่วนคิดว่า หลังจากผ่านการฆ่ากันกลางเมืองมา 9 เดือน ก็ถึงรุ่งอรุณของความยุติธรรมแล้ว
อย่าลืมข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่า ก่อนสว่างนั้นเป็นช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดของวันเสมอ
และที่ต้องไม่ลืมเป็นอันขาดก็คือ เวลาเมืองไทยนั้นเดินถอยหลังได้
กำลังจะรุ่งสาง ก็ย้อนกลับไปเที่ยงคืนเสียเฉยๆ ได้
มีบทเรียนในอดีตให้เห็นอยู่หลายหนแล้วไม่ใช่หรือ