ที่มา thaifreenews
โดย lovethai
อำนาจการเมืองเปลี่ยนความจริง89ศพจะปรากฏ!
คอลัมน์ รายงานพิเศษ
โดย กิตติพิชญ์ ยิ่งวรการสุข
นายชัยธวัช ตุลาธน ถือเป็นผู้ประสานงานสำคัญคนหนึ่งของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) ทำหน้าที่ดูแลและให้ความช่วยเหลือญาติผู้เสียชีวิต จึงรู้ดีว่าทำไม 6 เดือนที่ผ่านมาไม่มีความคืบหน้าคดี 89 ศพที่เกิดจากการ “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่” ขณะที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลับถูกจับและขังฟรี
มุมมองของนายชัยธวัชจึงน่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะการตรวจสอบคดีที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ไม่มีความคืบหน้าและมีความล่าช้า กว่าดีเอสไอจะขยับทำอะไรก็เลยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานานมาก ดีเอสไอให้ความสำคัญกับการฟ้องร้อง นปช. หรือคนเสื้อแดงในข้อหาก่อการร้ายเป็นหลัก
@ พฤติกรรมประหลาด
ขณะเดียวกันการสอบสวนการเสียชีวิตของคนเสื้อแดง ศปช. พบว่าดีเอสไอยังไม่ทันสอบสวนแต่กลับระบุสาเหตุของการตายว่าเป็นอย่างไร และนำมาฟ้องแกนนำ นปช. ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย โดยอ้างการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐบาล ตรงนี้ถือเป็นลักษณะแปลกประหลาดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว
“มันขัดกันเอง เพราะดีเอสไอยังไม่มีคำตอบเลยว่าคนที่เสียชีวิตนั้นเกิดจากอะไร แต่กลับบอกว่าคนเสื้อแดงบางส่วนเป็นผู้ที่ทำให้เสียชีวิตแล้ว”
การคลี่คลายการเสียชีวิต 89 ศพของดีเอสไอจึงค่อนข้างสับสน อย่างรัฐบาลถูกกระแสกดดันจากสังคมมาก็บอกว่าจะทำให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน แต่พอครบ 45 วันก็ให้คำตอบไม่ได้ว่าการชันสูตรพลิกศพและคดีจะเสร็จเมื่อไร อย่างไร
โดยเฉพาะปฏิกิริยาล่าสุดของดีเอสไอที่ทำตัวลุกลี้ลุกลนแถลงความคืบหน้าการชันสูตรพลิกศพซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มที่ 1 โยนไปให้คนชุดดำ กลุ่มที่ 2 การเสียชีวิตของประชาชนและสื่อมวลชนต่างประเทศอาจเกิดจากการนำกำลังทหารเข้ากระชับพื้นที่ แต่ก็ใช้คำที่คลุมเครือและระมัดระวังมาก โดยไม่ได้บอกตรงๆว่าเป็นการเสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ และกลุ่มที่ 3 ไม่มีความคืบหน้าที่จะสามารถระบุกลุ่มคนร้ายได้
“ดังนั้น รายละเอียดที่ดีเอสไอแถลงแสดงว่าคดี 89 ศพยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย แม้แต่กรณีการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ นักข่าวญี่ปุ่น ดีเอสไอเคยระบุว่ายังไม่สามารถบอกได้ว่าเสียชีวิตจากฝ่ายไหน เพราะไม่มีพยานมาให้ปากคำ แต่เท่าที่ทราบไม่แน่ใจว่าดีเอสไอโกหกหรือต้องการปกปิด เพราะดีเอสไอน่าจะมีข้อมูลและมีพยานที่ให้ปากคำแล้ว นอกจากความล่าช้าของดีเอสไอแล้วยังมีความไม่ชัดเจน โดยเฉพาะการทำงานที่ทำตามกระแส พอมีกระแสกดดันทีก็ออกมาขยับที แต่ผมคิดว่าสาเหตุที่ทำให้ดีเอสไอทำงานล่าช้าน่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้งในตัวเองด้วย”
อย่าลืมว่าดีเอสไอถือเป็นคู่กรณีในเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้ด้วย เพราะเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และค่อนข้างมีบทบาทมาก โดยเฉพาะการออกมาพูดเรื่องผู้ก่อการร้ายที่รัฐบาลและ ศอฉ. นำมาอ้างความชอบธรรมในการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม ดังนั้น ถ้ามีการสอบสวนให้ชัดเจนแล้วพบว่าเจ้าหน้าที่เป็นต้นเหตุให้มีการเสียชีวิต ดีเอสไอก็ต้องมีส่วนในการรับผิดด้วยถ้ามีการฟ้องร้องกัน
@ ปัญหาภายในดีเอสไอ
ความจริงดีเอสไอยังมีปัญหาอื่นอีกมาก ที่สำคัญมากคือการรายงานผลการชันสูตรศพแก่กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตที่เคยไปติดต่อยื่นเรื่องกับดีเอสไอเพื่อขอให้เปิดเผยรายงานการชันสูตรศพ ซึ่งดีเอสไอบอกว่าได้รับรายงานมาบางส่วนแล้ว แต่ถ้าดูจากข้อมูลของตำรวจ การชันสูตรศพเสร็จสิ้นแล้วทั้ง 89 ราย ดังนั้น ที่ดีเอสไอเคยรับปากว่าจะเปิดเผยรายงานการชันสูตรศพให้กับญาติผู้เสียชีวิต จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการส่งผลให้ ทั้งๆที่ญาติผู้เสียชีวิติมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะรับรู้ว่าแต่ละคนเสียชีวิตอย่างไร
“จริงๆแล้วการสอบสวนสาเหตุการตายทั้ง 89 ศพมีอุปสรรคหลายอย่าง ผมไม่แน่ใจว่าดีเอสไอได้รับความร่วมมือจากฝ่ายทหารแค่ไหนในการพิสูจน์หลักฐานและข้อมูลในการปฏิบัติหน้าที่ ที่สำคัญหลักฐานแวดล้อมต่างๆ เช่น วัตถุก็ถูกทำลายไปมาก จะโดยจงใจและไม่จงใจก็ตาม ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการจงใจทำลายหลักฐานตั้งแต่ครั้งรณรงค์ให้คนมาทำความสะอาด เพราะไม่รู้ว่าหลักฐานอย่างรอยกระสุนนั้นยังอยู่ครบหรือไม่”
นายชัยธวัชยังชี้ว่า ถ้าคดีไม่คืบหน้าจะเกิดผลเสียต่อรัฐบาล เพราะสังคมกำลังรอคำตอบอยู่ ไม่ใช่แค่สังคมไทย เพราะยังมีนักข่าวต่างชาติที่เสียชีวิต ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นและญาติก็มีการติดตามสอบถามอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จะมีคำถามถึงกระบวนการยุติธรรมไทยว่ามีความยุติธรรมจริงและมีการสอบสวนอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ เพราะมีหลักฐานแวดล้อมมากมายที่เชื่อว่ารัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนทำให้เกิดการสูญเสียขึ้น
@ รัฐบาลบิดเบือนประเด็น
ส่วนการใช้ประเด็นความปรองดอง รวมทั้งการตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆขึ้นมานั้น นายชัยธวัชเห็นว่าเป็นการทำเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของรัฐบาลมากกว่า เพราะแทนที่จะมุ่งสอบสวนข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นฝ่ายผิด ใครควรได้รับการลงโทษ แต่รัฐบาลกลับทำให้สังคมไขว้เขวไปเรื่องการปรองดองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ทั้งที่จะต้องทำให้ความจริงและความยุติธรรมปรากฏก่อนจึงจะมีการปรองดอง
“ผมขอเตือนรัฐบาลว่าถ้าไม่ทำคดี 89 ศพให้มีความคืบหน้าและมีความชัดเจนก็มีความเป็นไปได้ที่จะส่งผลให้สถานการณ์เกิดความรุนแรงขึ้นในอนาคต เนื่องจากญาติผู้เสียชีวิตมีความโกรธแค้น ความรู้สึกที่ไม่ได้รับความยุติธรรม แต่อาจไม่ใช่ความรุนแรงที่ปะทุขึ้นมาแบบรวดเร็วใหญ่โต แต่จะเป็นลักษณะที่สะสมไปเรื่อยๆ และผลกระทบนี้จะไม่กระทบแค่รัฐบาลเท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบต่อระบบระเบียบหรือโครงสร้างสังคมการเมืองไทยในระยะยาวด้วย”
@ ต้องเปลี่ยนผู้มีอำนาจ
นายชัยธวัชยืนยันว่า อุปสรรคสำคัญในการคลี่คลายความขัดแย้งครั้งนี้ ตั้งแต่การสืบสวนหาข้อเท็จจริงนั้น จากการศึกษาบทเรียนและประสบการณ์จากประเทศต่างๆ รวมทั้งของประเทศไทย เงื่อนไขสำคัญที่จะนำไปสู่ความยุติธรรมและการคลี่คลายความขัดแย้งได้ก็ต่อเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง คืออย่างน้อยคนที่อยู่ในอำนาจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงต้องพ้นไปจากอำนาจก่อน
“ถ้าคนที่อยู่ในอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือองค์กรของรัฐอื่นๆ ยังมีอำนาจทางการเมืองอยู่ จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคลี่คลายความขัดแย้งครั้งนี้ได้ อย่างน้อยที่สุดต้องเปลี่ยนรัฐบาล ถ้ารัฐบาลไม่เปลี่ยนก็ไม่มีทางที่จะได้ความจริงจาก 89 ศพ เพราะรัฐบาลนี้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเหตุการณ์ และจะหวังให้ดีเอสไอสอบสวนอย่างตรงไปตรงมา ความยุติธรรมคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน”
(ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ฉบับ วันที่ 27 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553)