ที่มา มติชน
โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์
เมื่อตอนผู้เขียนยังเด็กๆ อยู่นั้น เราเคยเรียกประเทศลิเบียว่า "ลิบยา" ซึ่งดูจากภาษาอังกฤษที่เขียนว่า "Libya" แล้วก็น่าจะอ่านว่าลิบยาจริงๆ เหมือนกัน แต่เมื่อใครๆ รวมทั้งคนลิเบียเองก็เรียกว่าประเทศนี้ว่าลิเบีย สรุปก็เรียกว่าลิเบียก็แล้วกัน เพราะขนาดว่านครเวียงจันทน์ของประเทศลาว ก็เห็นฝรั่งเรียกว่านครเวียนเทียน (Vientiane) หน้าตาเฉยเหมือนกัน
ที่เขียนเรื่องลิเบียวันนี้ เนื่องจากเกิดความคิดถึงพันเอกโมอามาร์ อัล-กาดาฟี ซึ่งผู้เขียนได้ติดตามผู้นำชาวลิเบียมาตั้งแต่เขายังเป็นทหารบกยศร้อยเอก ผู้ทำการยึดอำนาจในลิเบียได้สำเร็จเมื่อ พ.ศ.2512 (ผู้เขียนมีความสนใจเป็นพิเศษสำหรับเรื่องนายทหารชั้นผู้น้อยทำการยึดอำนาจได้สำเร็จมาตั้งแต่เด็กแล้ว เนื่องจากเบื่อการยึดอำนาจของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ยึดอำนาจในเมืองไทยเต็มที โดยเริ่มต้นก็ติดตามร้อยเอกกองแล วีระสาน ผู้เคยยึดอำนาจในประเทศลาวได้สำเร็จเมื่อ พ.ศ.2503 แล้วก็ค้นไปเจอกบฏนายสิบของไทยเมื่อ พ.ศ.2478 ที่ล้มเหลว แต่ทราบว่าพวกกบฏนายสิบนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากการที่สิบเอกบาทิสตาแห่งคิวบายึดอำนาจในประเทศคิวบาได้สำเร็จใน พ.ศ.2476)
ครับ! กาดาฟีพอยึดอำนาจได้ก็เลื่อนยศให้ตัวเองเป็นพันเอก แล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น ทั้งๆ ที่เป็นผู้เผด็จการของประเทศลิเบียอยู่ถึง 42 ปี เมื่อกาดาฟีได้ปกครองประเทศแล้ว ก็ขอขึ้นราคาน้ำมันดิบจากบริษัทน้ำมันของอเมริกัน อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ จาก บาร์เรล ละ 0.90 ดอลลาร์อเมริกันเป็น 3.45 ดอลลาร์อเมริกัน และกาดาฟียังชักชวนบรรดาประเทศสมาชิกองค์การโอเปค ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศกลุ่มอาหรับให้งดขายน้ำมันให้สหรัฐอเมริกาและเนเธอร์แลนด์ใน พ.ศ.2516 เพราะสองประเทศนี้หนุนอิสราเอลในสงครามยมคิปปูร์กับบรรดาประเทศอาหรับ
เล่นเอาโลกปั่นป่วนไปหมด เพราะน้ำมันขึ้นราคาหลายเท่าตัว (ท่านผู้อ่านเชื่อไหมว่าก่อน พ.ศ.2516 รถมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กเติมน้ำมัน 50 สตางค์ ยังได้เลยครับ)
เนื่องจากประเทศลิเบียเป็นประเทศที่มีเนื้อที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 17 ของโลก โดยใหญ่กว่าประเทศไทยประมาณสามเท่าครึ่ง แต่มีประชากรเพียงห้าล้านกว่าคนเท่านั้น (ประชากรของลิเบียทั้งประเทศมีน้อยกว่าประชากรของ กทม.เราเสียอีก) แต่มีน้ำมันดิบมากพิลึก ซึ่งสามารถสูบขึ้นมาได้ถึงวันละ 3 ล้านบาร์เรล เลยทีเดียว
ประเทศลิเบียตกเป็นอาณานิคมของอิตาลี เพิ่งได้เอกราชภายหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 นี่เอง โดยมีกษัตริย์ปกครองพระองค์เดียวคือ กษัตริย์ไอดริสที่หนึ่ง (king Idris I) ขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ.2494 จนกระทั่ง พ.ศ.2512 จึงถูกกาดาฟียึดอำนาจและปลดออกจากตำแหน่ง ขณะนี้ธงชาติสมัยพระเจ้าไอดริสที่หนึ่งได้ถูกออกนำออกมาชักขึ้นสู่เสาในสถานที่ๆ ฝ่ายต่อต้านกาดาฟียึดได้แล้วในแหล่งน้ำมันทางภาคตะวันออกของลิเบีย อาทิ ที่เมืองเบงกาซีซึ่งเป็นส่วนใหญ่อันดับสองของลิเบีย และที่สถานทูตของลิเบียในประเทศต่างๆ
ครับ! กาดาฟีได้ใช้ความมั่นคั่งของเงินจากน้ำมันมาพัฒนาประเทศตลอด 40 ปีอย่างเห็นหน้าเห็นหลัง โครงการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกาดาฟีคือ การหาน้ำจืดให้กับพื้นที่ทะเลทรายในประเทศที่มีถึง 65% ซึ่งเป็นผลจากการ ขุดหาแหล่งน้ำมันใหม่ในเขตตอนใต้ของลิเบีย ที่ไม่เพียงแต่พบแหล่งสำรองน้ำมันขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังพบแหล่งน้ำจืดใต้ดินขนาดมหึมาซ่อนตัวอยู่ใต้ชั้นหิน
ประเมินกันว่าแหล่งน้ำดังกล่าวถูกเก็บกักไว้ตั้งแต่ราว 38,000 ปี ถึง 17,000 ปีก่อน เมื่อครั้งที่ทะเลทรายซาฮารายังเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ได้เกิดซึมซับน้ำฝนเก็บกักไว้ใต้ชั้นดินและแผ่นหินมายาวนาน จนกระทั่งผืนป่าหมดสิ้น หน้าดินผุกร่อนกลายเป็นผืนทราย แต่น้ำฝนเหล่านั้นยังคงถูกเก็บกักไว้ในชั้นหิน จึงมีการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำที่รองรับน้ำจากแหล่งน้ำใต้ดินไว้ในเมืองต่างๆ เป็นระยะๆ ตลอดทางของท่อส่งน้ำ
และริมเขตอ่างเก็บน้ำเหล่านั้นก็แปรสภาพมาเป็นพื้นที่เกษตรกรรม โดยอาศัยระบบให้น้ำแบบ pivot system ซึ่งเมื่อมองจากภาพถ่ายทางอากาศแล้วจะเห็นเป็นพื้นที่วงกลมสีเขียวต่อเนื่องกันไปกลางทะเลทรายสีแดงคล้ายภาพกราฟิค ซึ่งพื้นที่ที่มีการชลประทานดังกล่าวจะเพิ่มความชุ่มชื่นให้เขตทะเลทราย อีกทั้งยังเก็บกักน้ำฝนซึ่งจะตกลงมาราวปีละ 1-2 ครั้งได้โดยไม่ซึมหายไปในพื้นทราย
รัฐบาลลิเบียวาดหวังว่า ด้วยการขยายระบบชลประทานและพื้นที่สีเขียวในเขตทะเลทรายดังกล่าวนี่เอง จะดึงดูดให้บรรยากาศมีความชื้นเพียงพอที่ไอน้ำจะกลั่นตัวเป็นฝน เพิ่มปริมาณฝนต่อปีให้มากขึ้น ทำให้พื้นที่ทะเลทรายที่พอเพาะปลูกได้ทำการเกษตรได้จากน้ำฝนต่อไป
กาดาฟีได้ใช้เงินจากน้ำมันสร้างความเจริญรุดหน้าทางเศรษฐกิจให้กับลิเบีย ประชาชนกินดีอยู่จึงทำให้เขาครองอำนาจได้ยาวนาน ประกอบกับระบบสังคมของลิเบียนั้นยังล้าหลังอยู่ในระบบชนเผ่าอยู่ ซึ่งต่างกับประเทศเผด็จการเช่น ตูนิเซียและอียิปต์ที่อำนาจส่วนใหญ่จะอยู่ในมือสถาบันทหาร แต่ของลิเบียนั้นยังขึ้นอยู่กับชนเผ่า ซึ่งกาดาฟีได้แต่งตั้งสมาชิกของเผ่าคัตตาฟา ซึ่งเป็นเผ่าของกาดาฟีเข้าคุมกำลังทหารและตำรวจทุกระดับและพยายามเอาใจหัวหน้าเผ่าอื่นๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเผ่าวาฟัลลา ซึ่งมีสมาชิกอยู่กว่าหนึ่งล้านคน ซึ่งกาดาฟีใช้วิธีแบ่งแยกและปกครอง (Divide and rule)
นอกจากนี้กาดาฟียังมีทหารรับจ้างชาวเซอร์เบียและไนจีเรียเป็นกำลังสำคัญที่สามารถฆ่าใครก็ได้ด้วยเงินเป็นกำลังสำคัญ โดยกาดาฟีก็สั่งฆ่าคนมาเยอะแยะอย่างนับไม่ถ้วนรวมทั้งเป็นสปอนเซอร์ให้กับกลุ่มก่อการร้ายทั่วโลก ก็เนื่องจากมีเงินและมีอำนาจล้นฟ้านี่เองด้วย
ครับ! แน่นอนทีเดียว วันเวลาของกาดาฟีหมดลงแล้วละครับ ก็เหมือนพวกไดโนเสาร์นั่นเองที่หมดยุคสมัยของตนแล้ว ยังไงๆ ก็ต้องปิดฉากให้ศักราชหน้าใหม่ของลิเบียเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้