ที่มา Thai E-News
โดย ปะแด งา มูกอ
6 มีนาคม 2554
เห็นคำสัมภาษณ์ของ ฯพณฯท่าน ถาวร เสนเนียม (มท.3) แล้วทำให้นึกถึง ฯพณฯท่าน มิสเตอร์ด๊อก ที่ถูกบล็อกหน้าที่ในการปฏิบัติงานคมกลิ่นวัตถุระเบิดและยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเจ้าเครื่องมือไฮเทคโนโลยีที่ทันสมัย GT200 ที่ได้กลายเป็นไม้ล้างป่าช้าไปเรียบร้อยแล้วในราคาเครื่องละ ตั้งแต่ 800,000 – 1,600,000 บาท โอ้....!!!! พระเจ้า
ภาพแม่ร่ำไห้กอดศพพระที่เสียชีวิต ทั้งนี้ความรุนแรงในชายแดนภาคใต้ยังมีมาต่อเนื่องนับแต่ปี2547เป็นต้นมา ล่าสุดมีการสังหารพระสงฆ์ที่อ.โคกโพธิ์ ปัตตานี ก่อความปริร้าวยิ่งขึ้นระหว่างผู้ที่ต่างศาสนา ก่อนหน้านี้เกิดเหตุสังหารอิหม่ามขึ้น ทางการไทยกล่าวว่า ผู้ปฏิบัติการประสงค์ให้เกิดความแตกแยกไม่ไว้วางใจกันระหว่างชาวพุทธกับมุสลิม(ภาพข่าว:REUTERS)
ผมสงสัยไอ้คำว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่มีความชำนาญพิเศษในการตรวจค้นและตรวจสอบสิ่งผิดปกติ” ไม่ทราบว่าข้อสงสัยของผมมันจะผิดหรือเปล่าว่า เจ้าหน้าที่ดังกล่าว ได้ผ่านหลักสูตรการดมกลิ่นมาเรียบร้อยแล้ว มันอาจจะเป็นจริงตามข้อสงสัยของผมก็ได้ เพราะประเทศมหาอำนาจบางประเทศ เขาได้เชิญบรรดาท่านมิสเตอร์ด๊อกที่เชี่ยวชาญการรบ มาเป็นครูฝึกสอนให้แก่บรรดาทหารหาญประจำหน่วยรบในประเทศนั้น (ไม่แน่ผมอาจถูกจะหลอกในข้อมูลข่าวสารเหมือนกับกรณีส่งสตรีมุสลิมภาคใต้ไปฝึกอาวุธที่ต่างประเทศ ที่กองทัพภาค 4 ถูกหลอกมาแล้ว ก็อาจป็นได้)
ประเด็นที่มีการถกเถียงกัน รวมถึงการตั้งข้อสงสัยว่า ทำไม...??? เจ้าหน้าที่ในสามจังหวัดชายแดนใต้และบรรดาผู้บริหารประเทศที่มีหน้าที่รับผิดชอบ จึงไม่ใช้สุนัขดมกลิ่น ในการช่วยงานดมกลิ่นค้นหาวัตถุระเบิดหรือยาเสพติดในพื้นที่ต้องสงสัย รถยนต์ต้องสงสัย รถจักรยานยนต์ต้องสงสัย และบุคคลต้องสงสัย
ก่อนอื่นต้องยอมรับว่า การดมกลิ่นของสุนัขที่ได้การฝึกมาอย่างดีนั้น ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของมันต้องขอยอมรับ แบบว่าพลาดน้อนมาก (นอกจากไปแกล้งมันหรือทำให้มันแขว เช่น ไปเอากระเทียม,พริกไทย,กะปิ เครื่องแกงทั้งน้าน ไปทาหรือไปโรยที่วัตถุระเบิดหรือถุงใส่ยาเสพติด นี่แหล่ะที่ทำให้ มิสเตอร์ด๊อกของผมมันเพี๊ยนไป) นอกนั้นแล้วเสร็จโก๋หมดล่ะครับ GT200 ยังหงายเก๋งมาแล้วในการตรวจสอบความแม่นยำ
ในเมื่อทราบและยอมรับถึงความเก่งกาจและความแม่นยำของเจ้าสุนัขดมกลิ่นกันแล้ว แล้วทำไมถึงไม่ใช้งานมันเพื่อให้เกิดประโยชน์ นี่แหล่ะครับที่ต้องมาทำความเข้าใจกัน
ประเด็นแรก (สำคัญมากๆ) มีการพูดถึงความละเอียดอ่อนของศาสนาอิสลาม การปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดของพี่น้องชาวไทยมุสลิม ที่เชื่อมโยงไปถึงสัตว์ 2 ชนิด คือสุนัข และสุกร ที่ยอมรับไม่ได้หรือพูดง่ายๆว่า “ไม่ชอบ” ประเด็นนี้ผมต้องขอประทานโทษด้วยครับว่า เพราะเหตุใด ท่านใดที่ทราบความเป็นมาในเรื่องดังกล่าวช่วยกรุณาแนะนำ หรือชี้แจงแถลงไข เพื่อเป็นวิทยาทานด้วยน่ะครับ
แต่เท่าที่เคยพูดคุยกับเพื่อนๆทั้งผู้อาวุโสชาวไทยมุสลิมหลายๆท่าน ท่านให้ความคิดเห็นที่ดีมาก ท่านบอกว่า
“เรื่องปัญหาชอบหรือไม่ชอบ เกลียดหรือไม่เกลียด สัตว์ทั้งสองชนิดนั้น ไม่ใช่ปัญหาสำคัญ แต่ที่สำคัญถ้าเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติงานในพื้นที่และรัฐบาลที่กุมนโยบาย มีความจริงใจและบริสุทธิ์ใจจริงในการแก้ไขปัญหาไฟใต้ และต้องการให้ประชาชนในพื้นที่ปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินจริง เรื่องการใช้สุนัขดมกลิ่นถือเป็นเรื่องไร้สาระไปเลย ขอได้โปรดอย่านำเอาประเด็นเรื่องหมาๆมาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่โดยอ้างถึง ความละเอียดอ่อน อีกเลย”
เอาล่ะครับเมื่อถึงตอนนี้ ท่านบรรดาทหารหาญและรัฐมนตรีปัญญอ่อนทั้งหลาย ท่านจะแก้ไขในเรื่องนี้อย่างไร จะใช้สุนัขดมกลิ่น หรือจะใช้เจ้าหน้าที่ชำนาญพิเศษในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับปัญหาเรื่องระเบิดและยาเสพติด
ผมขอแนะนำว่า น่าจะลองทำงานหรือปฏิบ้ติงานแข่งกันดู ระหว่างพี่หมากับพี่ทหารตำรวจของผม ว่าใครจะเจ๋ง กว่าใคร ใครแพ้ก็ให้ไปกราบผู้ชนะ ท่านว่าดีไหม....???????