ที่มา ประชาไท
ในฐานะลูกบางปล้าม้า คนสุพรรณฯ ชาวอู่ข้าวอู่น้ำแห่งทุ่งสุพรรณ และทุ่งอยุธยา วัยเด็กของผู้เขียนเติบโตมากับฤดูกาลธรรมชาติแห่งน้ำแล้งและน้ำหลาก และคุ้นชินกับชีวิตในฤดูน้ำท่วมทุกปี ปีละ 2-3 เดือน นับตั้งแต่เดือนกันยายน หรือตุลาคม ไปจนถึงต้นเดือนหรือกลางเดือนธันวาคม ขึ้นอยู่กับว่าปีนั้นน้ำมากหรือน้ำน้อย
วิถีชีวิตวัยเด็กที่ห่างไกลจากแมคโดนัลด์ เค เอฟ ซี และดังกิ้น โดนัท จึงอยู่กับการช่วยพ่อแม่ในนา หาปลาในน้ำ ทำกับข้าวในครัว หรือไม่ก็วิ่งแย่งปักขี้ควาย ตกปลา เก็บลูกตาล ถอนสายบัว เก็บผักบุ้ง ดอกโสน หรือผักใต้น้ำมาทำให้ครอบครัวทำอาหารหรือขนมอร่อยๆ เรื่องอาหารโดยเฉพาะขนมหวาน ชาวบ้านบางปลาม้าก็ขึ้นชื่อมากเช่นกันเรื่องฝีมือ
จริงๆ แล้ว พวกเราเด็กๆ รอหน้าน้ำท่วมกันพอสมควร เพราะเราอาบน้ำ เล่นน้ำกันที่หน้าบ้านกันได้อย่างสบาย ไม่ต้องเดินลงไปยังที่ท่าน้ำท่าจีน และเราก็ใช้เรือพายไปบ้านโน้นบ้านนี้ ไม่ต้องกลัวหมาชาวบ้านที่ดุและกัดจริง วิ่งไล่กัดเหมือนในยามหน้าแล้ง และกอรปกับฤดูน้ำท่วมก็เต็มไปด้วยประเพณีและงานบุญต่างๆ ทั้งเทศกาลกระยาสารท ออกพรรษา ทอดกฐิน ลอยกระทงและงานแข่งเรือของวัดต่างๆ ช่วงฤดูน้ำท่วมจึงเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างจะสนุกสนานรื่นเริงของเด็กๆและชาว บ้านในยามนั้นไปได้เช่นกัน
นั่นก็เป็นความโรแมนติกที่เรียบง่ายเมื่อยี่สิบหรือสามสิบปีมาแล้ว!
ผู้เขียนจำได้ว่าควายตัวสุดท้ายของเครือญาติถูกขายไปในช่วงต้นทศวรรษ 2520 พร้อมกับการเข้ามาของเงินกู้ ธกส. ควายเหล็ก คลองชลประทาน เมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุุ์ กข. ปุ๋ย ยาฆ่าหญ้าและฆ่าแมลงของมอนซานโต้ และการทำนาปรังปีละ 2 – 3 ครั้ง[2]
เพียงไม่กี่ปีต่อมา ในช่วงต้นทศวรรษ 2530 เกิดนายหน้าซื้อที่ดินดาหน้ากันเข้าไปยังหมู่บ้านชาวนาภาคกลาง และการขายที่ดินของชาวนาเป็นจำนวนมาก จนถึงกับมีการกล่าวกันว่าชาวนาที่ภาคกลางโดยเฉพาะที่อยุธยา สุพรรณบุรี อ่างทอง สิงบุรี และนครสวรรค์ ที่อยู่ติดเส้นทางหลวงต่างๆ ถูกขายไปเป็นจำนวนมาก จำได้ว่าเคยเห็นการอ้างสถิติในช่วงเศรษฐกิจบูมยุคชาติชายว่า ชาวนาสูญเสียที่ดินไปกว่า 40%
ตามมาด้วยการก่อเกิดเศรษฐีใหม่ในหมู่บ้านชาวนาภาคกลาง ที่พากันขับรถปิ๊กอัพไปกินข้าวต้มโต้รุ่ง และเข้าบาร์เบียร์ในเมือง ชาวบ้านหันมาจ้างผู้รับเหมาจัดเลี้ยงโต๊ะจีน พร้อมวงดนตรีและแดนเซอร์นุ่งน้อยห่มน้อย
ขณะเดียวกัน ชาวบ้านก็พากันรื้อบ้านทรงไทยใต้ถุนสูง ถมที่ดิน แล้วสร้างบ้านครึ่งปูนครึ่งเรือนทรงไทยหรือครึ่งไม้กันอย่างขนานใหญ่ เส้นทางน้ำทั้งหลายก็ถูกปิดกั้นตามสภาพขอบเขตโฉนดที่ดินและตามกำลังทางการ เงินของแต่ละครอบครัวที่จะถมที่ดินได้สูงแค่ไหน และมาถึง ณ วันนี้ ผู้เขียนไม่แน่ใจว่ายังมีกี่บ้านในหมู่บ้านริมน้ำท่าจีนบ้านเกิดของผู้เขียน ที่ยังมีเรือแจวเหลืออยู่ที่บ้าน
ไม่นานเงินที่ได้จากการขายที่ดินก็หมด เกิดวิกฤติฟองสบู่ในปี 2540 พร้อมกับตัวเลขหนี้สินเกษตรกรในภาคกลางที่สูงลิ่วครอบครัวละเกือบครึ่งล้าน บาท
แต่นับตั้งแต่ปี 2530 ที่ดินที่เคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำแห่งทุ่งอยุธยา ที่ถูกขายเปลี่ยนมือกันจากชาวนา สู่นายหน้า และขายให้กับนายทุน และก็ถูกถมที่และก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมโดยทันที จนทำให้ในปัจจบัน เมืองอู่ข่าวอู่น้ำและแอ่งอารยธรรมอยุธยากลายเป็นนิคมอุตสาหกรรมแรงงานราคา ถูกเต็มทั้งจังหวัด และแม้ว่าจะอยู่ห่างจากกรุงเทพเพียงไม่ถึงชั่วโมง แต่เพดานค่าแรงขั้นต่ำของอยุธยาที่ถูกดองไว้เพื่อส่งเสริมการลงทุนในปี 2554 จึงอยู่ในอัตราวันละ 190 บาท ต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำที่กรุงเทพฯ ถึงวันละ 25 บาท
และนับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2530 มาจนถึงปัจจุบัน แทบจะไม่มีใครเชื่อว่าที่ราบลุ่มน้ำท่วมขังทุกปีเช่นอยุธยาจะเต็มไปด้วยนิคม อุตสาหกรรมเกือบทั้งจังหวัด ทั้งนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ไฮเทค บางประอินทร์ บ้านแพน สหรัตนนคร เป็นต้น
ด้วยวิถีชีวิตและสภาพบ้านเรือนที่ปรับเปลี่ยน วิถีชีวิตธรรมชาติแห่งฤดูน้ำท่วม น้ำหลาก เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ทำนิคมอุสาหกรรมและเมืองโบราณของอยุธยาจมมิดน้ำ แม้เป็นเรื่องที่ยากจะป้องกัน แต่ด้วยมูลค่าความเสียหายและการไม่สามารถรับมือได้ทันสถานการณ์ จึงเป็นเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจยิ่ง และกลายเป็นวิกฤติที่นำความเดือดร้อนและความเสียหายให้กับชาวบ้านและ อุตสาหกรรมสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
ความเดือนร้อนจากเหตุการณ์น้ำท่วมภาคกลางครั้งนี้ ก็ไม่เว้นแม้แต่ชุมชนที่คุ้นเคยกับภาวะน้ำท่วมเช่นชาวบางปลาม้าบ้านเกิดของ ผู้เขียนเช่นกัน
จากการติดตามข่าวหลายกระแส น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ข้อคิดเห็นและบทวิเคราะห์ต่างๆ พากันชี้ให้เห็นว่ามันเป็นผลพวงที่เกิดจากทั้งธรรมชาติและน้ำมือมนุษย์ โดยเฉพาะเกิดจากการขาดวิสัยทัศน์และการจัดการทำผังประเทศและผังเมืองตามสภาพ สิ่งแวดล้อมและภูมิประเทศของรัฐบาลไทยมาอย่างยาวนาน ทุกยุค ทุกสมัย
เมื่อพูดเรื่องการวางแผนระยะยาวเตรียมการเรื่องน้ำท่วม ภัยธรรมชาติ และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก ประเทศไทยังใส่ใจกับเรื่องทั้งเรื่องเหล่านี้ รวมทั้งการศึกษาวิจัยและการวางแผนผังประเทศแบบบูรณาการที่สอดรับกับวิถี ธรรมชาติและสภาพทางภูมิประเทศน้อยมากอย่างน่าตระหนก ทั้งๆ ที่มีบทเรียนความเสียหายเกือบทุกปี
แต่เมื่อดูงบประมาณปี 2554 ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์อนุมัติทิ้งมรดกให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็เข้าใจดีว่ารัฐบาลรวมศูนย์แห่งกรุงเทพฯ ไม่มีความรู้และใส่ใจในเรื่องเหล่านี้เลย งบด้านสิ่งแวดล้อมของแผนงบประมาณปี 2554 มีเพียง 2,761 ล้านบาท คิดเป็นเพียง 0.1% ของแผนงบประมาณ ในขณะที่งบด้านการป้องกันประเทศ 153,543.8 ล้านบาท คิดเป็น 8.1% และงบการรักษาความสงบภายใน 122,566 ล้านบาท คิดเป็น 5.9% หรือจะเปรียบเทียบได้ว่างบทหารมีมากกว่างบด้านสิ่งแวดล้อมถึง 55.6 เท่า และงบด้านการรักษาความสงบภายในมีมากกว่างบด้านสิ่งแวดล้อมถึง 44 เท่า และเมื่อรวมกันทั้งงบทหารและการรักษาความสงบภายในประเทศ มีมากกว่างบด้านสิ่งแวดล้อมถึง 99.6 เท่าตัว
ที่มา: งบประมาณโดยสังเขป ฉบับปรับปรุง ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554
ในแผนงบประมาณ 5. ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อรองรับการ เปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศของโลก อนุมัติงบด้านนี้ไว้เพียง 36,987.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพียง 1.8% ของแผนงบประมาณปี 2554 โดยทั้งนี้ ที่น่าใจหายยิ่งคือ ในแผนงบประมาณสิ่งแวดล้อม มีระบุงบศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไว้เพียง 99.9 ล้านบาท (ด้วยความเคารพขออนุญาตเปรียบเทียบ)
ที่มา งบประมาณโดยสังเขป ฉบับปรับปรุง ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554
แม้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม หรือนักเศรษฐศาสตร์ แต่เมื่อดูแผนงบประมาณรัฐบาลไทย ก็เห็นได้คร่าวๆ ถึงความใส่ใจน้อยมากด้านสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติของรัฐบาลไทย อาจจะเป็นเพราะประเทศไทยไม่มีพรรคการเมืองสีเขียวด้านสิ่งแวดล้อมคอยดัน ประเด็นเรื่องนี้ในรัฐสภาก็เป็นได้
กระนั้นก็ตาม ด้วยภัยธรรมชาติดติดต่อกันมาทุกปี ทั้งภัยน้ำแล้ง หมอกควัน และน้ำท่วม สร้างความเสียหายปีละหลายหมื่นหรือหลายแสนล้านบาท งบประมาณศึกษาวิจัยเพียง 100 ล้านบาท ดูน้อยนิดเหลือเกินกับมูลค่าความเสียหายต่างๆ เหล่านี้
และแม้ว่าไม่มีพรรคเขียวคอยดันแนวนโยบายด้านส่ิงแวดล้อม และธรรมชาติ มันก็จำเป็นที่รัฐบาลพรรคเสรีนิยมเพื่อไทย หรือพรรคอนุรักษ์นิยมประชาธิปัตย์ รวมทั้งกลไกแห่งข้าราชการขุนนางไทย ต้องจัดวางความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมและการทำผังประเทศอย่างยั่งยืน เปิดให้เกษตรกรและประชาชนจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะกลุ่มชาวบ้านที่รวมตัวปกป้องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดการสอดประสานรับกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้ จริง
หมดเวลาที่ประเทศไทยจะคิดเรื่องการพัฒนาและการป้องกัน ภัยพิบัติด้วยการทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับซีเมนต์และคอนกรีต แต่ควรเปิดมุมมองและแสวงหามาตรการที่หลากหลาย ที่มุ่งเรื่องการคืนความสมดุลให้กับสภาพภูมินิเวศน์และธรรมชาติ และจัดทำผังบริหารบริหารจัดการทั้งน้ำท่วมนำแล้งอย่างบูรณาการและยั่งยื่น ทั้งประเทศ
และที่สำคัญรัฐบาลไทยควรนำประเด็นเรื่องนี้มาอยู่ในแผน พัฒนาระดับต้นๆ ไม่ใช่งบประมาณท้ายๆ ที่เหลือจากการจัดสรรจากกองทัพและกระทรวงหลักๆ ของประเทศเสียที!
เสียงเรียกร้องให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์เริ่มคิดเรื่อง มาตรการจัดการเรื่อง 'น้ำท่วมและน้ำแล้ง' อย่างบูรณาการและยั่งยื่นจากผลพวงน้ำท่วมปี 2554 จึงดั่งกระหึ่มมาจากทุกทิศทาง!
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
[1] จรรยา ยิ้มประเสริฐ เป็นลูกชาวนาจากบางปลาม้า สุพรรณบุรี บัณฑิตคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ใช้ชีวิตหลังมหาลัยเดินทางทั่วประเทศไทยและทั่วโลกเพื่อศึกษาและรณรงค์ เกี่ยวกับสิทธิแรงงาน สิทธิสตรี และนับตั้งแต่ปี 2552 ทำงานเขียนและรณรงค์เรื่องประชาธิปไตยในประเทศไทย
[2] จากรายงานขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) เมื่อปี 2543 ประเทศไทยมีเนื้อที่ทำการเกษตรมากเป็นอันดับที่ 48 ของโลก แต่ใช้ยาฆ่าแมลงมากเป็นอันดับ 5 ของโลก ใช้ยาฆ่าหญ้าเป็นอันดับ 4 ของโลก นำเข้าสารเคมีสังเคราะห์ทางการเกษตรปีละ 30,000 ล้านบาท และปัจจุบันประเทศไทยนำเข้าปุ๋ยเคมีปีละ 30-40,000 ล้านบาท