ที่มา ประชาไท
ฐาปนันท์ นิพิฎฐกุล
16 ตุลาคม 255
ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายฝ่ายต่างออกมาวิพากษ์ข้อเสนอในคำแถลงการณ์เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีนิติราษฎร์ ส่วนใหญ่มุ่งประเด็นไปยังเรื่อง “การลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549” ซึ่งปรากฏข้อวิจารณ์อย่างอึกทึกครึกโครม ทั้งที่ยังมีข้อเสนออีกหลายประการในคำแถลงการณ์ และในวันที่ได้ออกแถลงการณ์เป็นครั้งแรก (วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน 2554) นั้น นิติราษฎร์ก็ได้อธิบายให้เห็นความชัดเจนของข้อเสนออื่น ๆ ไปบ้างแล้วในระดับหนึ่ง แต่เพื่อเน้นย้ำในเห็นถึงจุดยืนในเรื่องการปฏิเสธรัฐประหารอย่างถึงที่สุด จึงขอหยิบยกข้อเสนออีกประเด็นหนึ่งในคำแถลงการณ์ (แต่ไม่เป็นที่สนใจของสื่อสาธารณะ) มาบอกเล่าให้ทราบกัน ณ ที่นี้อีกครั้ง...
หากผู้อ่านได้อ่านข้อเสนอในเรื่องการลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร ฯ ซึ่งอยู่ในคำแถลงการณ์ ฯ ประเด็นที่ 1 ประกอบกับคำแถลงการณ์ ฯ ประเด็นที่ 4 เรื่องการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อที่ 4 และข้อที่ 5 ก็จะเห็นประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกันอีกประเด็นหนึ่งซึ่งนิติราษฎร์เสนอให้ มีการจัดทำ “คำประกาศว่าด้วยคุณค่าอันเป็นรากฐานของระบอบเสรีประชาธิปไตย” ประกอบกันไปด้วย แท้จริงแล้ว ข้อเสนอในเรื่องการลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร ฯ นั้นย่อมเป็นสิ่งอันพึงกระทำก่อน อีกนัยหนึ่งก็คือ เราจะต้องหันกลับไปปฏิเสธ “สิ่งตกค้าง” ที่สืบเนื่องมาจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ประการต่อมา ข้อเสนอที่ให้มีการจัดทำ “คำประกาศว่าด้วยคุณค่าอันเป็นรากฐานของระบอบเสรีประชาธิปไตย” นั้น นิติราษฎร์คาดหวังว่า จะเป็นการวางรากฐานที่สำคัญสำหรับอนาคตที่จะยับยั้งมิให้เกิดการรัฐประหาร ขึ้นได้อีกต่อไป หรือหากเกิดมีขึ้น จะต้องมีมาตรการซึ่งจะทำให้การรัฐประหารนั้นไร้ผลและไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง ทั้งในทางการเมืองและในทางกฎหมาย
ในข้อเขียนชิ้นนี้ ผู้เขียนจึงประสงค์จะขยายความข้อเสนอในเรื่องนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อประกอบการพิจารณาของสาธารณชนทั้งหลายผู้ใฝ่ใจในระบอบประชาธิปไตย
1. วัตถุประสงค์ของข้อเสนอดังกล่าว
1.1 สภาพการณ์ทางกฎหมายที่เกิดขึ้นภายหลังการรัฐประหาร : ธรรมเนียมการฉีกรัฐธรรมนูญ
เราจะเห็นว่า เมื่อการกระทำรัฐประหารได้สำเร็จลง นอกเหนือจากการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่การกระทำของคณะรัฐประหารเองแล้ว คณะรัฐประหารยังออกประกาศให้กฎหมายรัฐธรรมนูญที่มีผลบังคับใช้อยู่ในขณะนั้น สิ้นสุดลง กล่าวคือ คณะรัฐประหารถือธรรมเนียมในอันที่จะยกเลิกหรือ “ฉีก” กฎหมายสูงสุดของประเทศทิ้งด้วยเสมอ
ดังนั้น วิญญูชนทั่วไปจึงเห็นได้โดยไม่ยากว่า เพราะเหตุใด ในประเทศไทยเรานับจากปี 2490 เป็นต้นมา จึงมีกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือธรรมนูญการปกครองแผ่นดินใช้เป็นจำนวนมาก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่เป็นประชาธิปไตยอื่น ๆ ในโลก นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยต้องทนรับการรัฐประหารหลายครั้งหลายคราและผลพวงของการนั้นอย่างยอม จำนนมาโดยตลอด และที่สำคัญก็คือ นักฎหมายบางส่วนกลับเชื่อด้วยว่า นี่คือจารีตประเพณีทางการเมืองและกฎหมายของไทยไปแล้ว โดยไม่คิดจะตั้งคำถามใด ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำไป
กรณีที่ว่ามานี้ เมื่อพิจารณาในแง่ระบบกฎหมายย่อมเป็นคำตอบอยู่ในตัวเองแล้วว่า หลักการพื้นฐานที่ว่าด้วย “กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ” นั้น มีผลบังคับ (และหยั่งรากลึกลงไปในจิตสำนึกของนักกฎหมาย) อย่างแท้จริงเพียงใดในประเทศนี้ โดยยังไม่ต้องคำนึงถึงคำวินิจฉัยฝ่ายตุลาการที่ยอมรับคณะรัฐประหารว่ามีฐานะ เป็นรัฏฐาธิปัตย์ (เมื่อยึดอำนาจการปกครองประเทศไว้ได้แล้ว) ซึ่งเป็นการใช้ตรรกะทางกฎหมายที่ทำลายล้างหลักการข้างต้นลงอย่างสิ้นเชิง
1.2 นิติราษฎร์เสนอให้มีการจัดทำ “คำประกาศ ฯ” เพื่ออะไร
• เพื่อให้ “คำประกาศ ฯ” เป็นวิธีการอันถาวร มั่นคงและยืนนาน ในอันที่จะยับยั้งและต่อต้านรัฐประหารที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต อีกนัยหนึ่งก็คือ ต้องกำหนดวิธีการที่จะยับยั้งอย่างได้ผลและมีประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อมีการใช้อำนาจนอกระบบกฎหมายเพื่อแทรกแซงทางการเมือง
• เพื่อเป็นคำประกาศเจตจำนงและความเข้าใจร่วมกันของปวงชนชาวไทยว่า ในระบอบการเมืองการปกครองและกฎหมายนั้น จะต้องมีหลักการพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นคุณค่า เป็นหัวใจหรือเป็นสาระสำคัญ โดยหลักการพื้นฐานเหล่านี้จะถูกยกเลิกเพิกถอนหรือก้าวล่วงโดยองค์กรหรือ สถาบันการเมืองใด ๆ มิได้เป็นอันขาด
• เพื่อเสนอให้ระบอบการเมืองการปกครองและระบบกฎหมายไทยมีบรรทัดฐานการอ้าง อิงที่ชัดเจน ทั้งในแง่หลักการและเจตนารมณ์ในการก่อตั้งและการดำรงอยู่ของกฎหมายรัฐ ธรรมนูญ องค์กรและสถาบันทางการเมืองและการปกครองทั้งปวง
2. คำประกาศ ฯ ดังกล่าวจะช่วยยับยั้งและต่อต้านรัฐประหารได้อย่างไรบ้าง
เราอาจพิจารณาแนวทางใช้ประโยชน์จากคำประกาศ ฯ ได้ใน 2 ลักษณะคือ
2.1 ในแง่รูปแบบ ต้องทำให้สถานะของคำประกาศ ฯ มีความชอบธรรมอันบริบูรณ์และสูงสุดโดยปราศจากเงื่อนไข ในฐานะที่เป็นเจตจำนงสูงสุดของปวงชนชาวไทยในทางการเมืองการปกครอง อยู่เหนือการกระทำรัฐประหารและการใช้อำนาจทางกฎหมาย (ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม) ของคณะรัฐประหาร
2.2 ในแง่เนื้อหา ต้องกำหนดให้คำประกาศ ฯ แสดงเจตจำนงของปวงชนชาวไทยอย่างชัดเจน อันจะมีผลให้หากมีการใช้อำนาจนอกระบบกฎหมายเข้าแทรกแซงทางการเมือง การกระทำนั้นจะเป็นปฏิปักษ์กับเจตจำนงที่แสดงออกผ่านทางคำประกาศ ฯ ข้างต้น
ซึ่งผู้เขียนจะได้ขยายความในแง่วิธีการให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ดังนี้
ก. คำประกาศ ฯ พึงมีรูปแบบแยกออกจากระบบกฎหมายและไม่มีสถานะในโครงสร้างของกฎหมาย
ในกรณีนี้ เราต้องเข้าใจแนวคิด (เชิงเทคนิค) ว่าด้วยโครงสร้างของระบบกฎหมายสักเล็กน้อย
กล่าวคือ ในโครงสร้างของระบบกฎหมายในประเทศไทยนั้น บนยอดสุดของโครงสร้างได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ (ตามหลักการที่ว่าด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด) ส่วนกฎหมายอื่น ๆ (เช่น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา เป็นต้น) จะไล่ลำดับศักดิ์หรือชั้นของกฎหมายลดหลั่นกันลงมา แต่ไม่ว่าบทกฎหมายเหล่านี้จะมีลำดับชั้นอย่างไรก็ตาม กฎหมายทั้งหมดล้วนอยู่ในโครงสร้างของระบบกฎหมายทั้งสิ้น นั่นหมายถึง บทกฎหมายต่าง ๆ อาจมีถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไขเพิ่มเติมโดยอาศัยอำนาจและหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายลำดับชั้นที่ สูงกว่าได้ตามความเหมาะสม
ดังนี้ เราจึงเข้าใจได้ไม่ยากว่า เมื่อคณะรัฐประหารสามารถยึดอำนาจการปกครองประเทศและฉีกกฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่ง สถาปนาอำนาจการปกครองไว้ในรูปแบบโครงสร้างทางกฎหมายทิ้งไปแล้ว ในทางข้อเท็จจริง คณะรัฐประหารจึงสามารถบัญญัติกฎหมายใหม่ ออกคำสั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือประกาศยกเลิกกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งที่มีอยู่ในโครงสร้างระบบกฎหมายเหล่า นั้นได้ เนื่องจากอำนาจที่คณะรัฐประหารใช้ขณะนั้นมีลักษณะเป็นอำนาจ (เถื่อนที่เกิดจากปลายกระบอกปืน) ตามความเป็นจริงนั่นเอง
ดังนั้น นิติราษฎร์จึงเสนอให้คำประกาศ ฯ มีสถานะพิเศษ กล่าวคือ แยกออกจากระบบกฎหมายและไม่ให้มีสถานะอยู่ในโครงสร้างของระบบกฎหมายที่ว่ามา ข้างต้น ซึ่งถ้าไม่แยกคำประกาศ ฯ ออกจากสถานะในทางกฎหมาย หากมีการรัฐประหารเกิดขึ้นและคณะรัฐประหารสามารถยึดอำนาจการปกครองประเทศไว้ ได้ คำประกาศ ฯ ก็อาจถูกยกเลิกหรือถูกประกาศให้สิ้นสุดลงได้ ทั้งนี้ ก็เพื่อปิดทางมิให้คำประกาศ ฯ ถูกฉีกทิ้งได้ได้ง่ายในทำนองเดียวกับการฉีกกฎหมายรัฐธรรมนูญอีกต่อไป
นั่นหมายถึง แม้หากการรัฐประหารจะสำเร็จและฉีกกฎหมายรัฐธรรมนูญทิ้งแล้วก็ตาม แต่คณะรัฐประหารจะไม่สามารถฉีกคำประกาศ ฯ ข้างต้นได้เป็นอันขาด เพราะคำประกาศ ฯ มีลักษณะพิเศษที่แยกออกจากระบบกฎหมายและไม่มีสถานะใด ๆ อยู่ในโครงสร้างของระบบกฎหมายของประเทศนั่นเอง
ข. พึงกำหนดเนื้อหาในคำประกาศ ฯ ในลักษณะการวางหลักการพื้นฐานที่สำคัญ เพื่อประกาศคุณค่าอันสูงสุดของระบอบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยต่อหน้า พลเมืองทุกคน
ในที่นี้ คำประกาศ ฯ จึงมีสถานะเป็นการประกาศเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันของปวงชนชาวไทย ต้องถือเป็นหลักใหญ่ใจความในการปกครองประเทศ หรืออีกนัยหนึ่ง มีลักษณะเป็นสัญญาประชาคมร่วมกันของพลเมืองซึ่งเป็นเสมือนหลักการและคุณค่า พื้นฐานอันศักดิ์สิทธิ์ที่กฎหมายรัฐธรรมนูญ องค์กรและสถาบันการเมืองใด ๆ จะก้าวล่วงมิได้เป็นอันขาด และเพื่อให้เนื้อหาของคำประกาศ ฯ ธำรงคุณค่าทางการเมืองการปกครองอย่างมั่นคงและถาวร จึงควรกำหนดประเด็นสำคัญในเนื้อหา (อย่างน้อย) 2 ประการได้แก่
• การปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงและถึงที่สุดต่อการใช้อำนาจนอกระบบกฎหมาย (เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอันเป็นการล้มล้างเจตจำนงอันเป็น อิสระของพลเมืองผ่านกระบวนการตามระบอบประชาธิปไตย) พร้อมด้วยสิทธิธรรมอันบริบูรณ์ของพลเมืองทั้งปวงในอันที่จะต่อต้านการใช้ อำนาจนอกระบบเช่นว่านั้น เพื่อธำรงไว้ซึ่งระบอบการปกครอง รวมทั้งสิทธิธรรมของพลเมืองทั้งปวงในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญด้วยมาตรการต่าง ๆ ที่จำเป็น
• การเน้นย้ำและวางหลักการพื้นฐานที่สำคัญของระบอบการปกครองของประเทศไว้ ให้มั่นคง โดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ องค์กรและสถาบันการเมืองทั้งปวงจะต้องผูกพันตนเข้ากับหลักการพื้นฐานที่ สำคัญในคำประกาศ ฯ นอกเหนือไปจากภารกิจและหน้าที่ขององค์กรและสถาบันการเมืองซึ่งบทบัญญัติใน กฎหมายรัฐธรรมนูญจะได้กำหนดไว้แล้วอีกส่วนหนึ่ง
ดังนั้น คำแถลงการณ์ของนิติราษฎร์ ในข้อ 5 (ของประเด็นที่ 4) จึงเสนอตัวอย่างเนื้อหาของคำประกาศ ฯ เพื่อเป็นการนำร่องเกี่ยวกับหลักการพื้นฐานต่าง ๆ อาทิเช่น
• มนุษย์ทั้งปวงเกิดมามีอิสระ มีสิทธิ เสรีภาพและเสมอภาคกันในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
• อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรทั้งหลาย ไม่มีผู้ใดหรือไม่มีวิธีการใดที่จะพรากไปจากราษฎรได้
• การปกครองโดยกฎหมายที่ยุติธรรมเป็นคุณค่าพื้นฐานของรัฐ
• การแบ่งแยกอำนาจเป็นอุดมการณ์ในการจัดรูปการปกครองที่ต้องธำรงไว้ให้มั่นคงตลอดกาล เป็นต้น
ตัวอย่างประสบการณ์ในประเทศประชาธิปไตยอื่น ๆ
แนวความคิดในเรื่องสถานะพิเศษของคำประกาศ ฯ เช่นว่านี้ หากเราต้องการดูตัวอย่างจากประสบการณ์ของประเทศประชาธิปไตยในโลก ก็อาจจะพิจารณาได้ เช่น กรณี “คำประกาศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและพลเมือง 1789” ที่เกิดขึ้นภายหลังการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสปี 1789 ซึ่งยังคงมีผลผูกพันและได้รับการยอมรับเชิงคุณค่าทั้งในทางการเมืองและ กฎหมายว่า เทียบเท่าหรือสูงกว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสสืบมาจนกระทั่งปัจจุบัน
3. ผลของการมีคำประกาศ ฯ
3.1 ในสถานการณ์รัฐประหารซึ่งมุ่งล้มล้างรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายและล้มล้างกฎหมายรัฐธรรมนูญ
1. ในทางการเมือง
• การกำหนดเนื้อหาไว้ในคำประกาศ ฯ ว่าด้วยการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงและถึงที่สุดต่อการใช้อำนาจนอกระบบกฎหมายและ สิทธิธรรมของพลเมืองในอันที่จะต่อต้านรัฐประหาร เพื่อธำรงไว้ซึ่งระบอบการปกครองและเพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญด้วยมาตรการต่าง ๆ ที่จำเป็น ย่อมทำให้การรัฐประหารเป็นการกระทำทางการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน กับเจตจำนงของปวงชนชาวไทยซึ่งแสดงออกผ่านคำประกาศ ฯ ดังนั้น พลเมืองทั้งหลายย่อมมีความชอบธรรมในการลุกขึ้นต่อต้านรัฐประหาร โดยสามารถใช้ทุกวิถีทางที่จำเป็นแก่การนั้นได้
• สำหรับคณะรัฐประหาร คำประกาศ ฯ ย่อมมีฐานะเป็น “ความชอบธรรมสูงสุดทางการเมืองและอยู่เหนือการกระทำของคณะรัฐประหาร” และแม้คำประกาศ ฯ จะไม่สามารถขัดขวางการกระทำใด ๆ ของคณะรัฐประหารที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง (โดยพฤตินัย) ได้ แต่คำประกาศ ฯ จะมีผลเป็นการปฏิเสธการกระทำทั้งปวงและล้มล้างผลในทางกฎหมายของการกระทำนั้น (นิตินัย) อย่างสิ้นเชิงและปราศจากเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น
2. ในทางกฎหมาย
คณะรัฐประหารย่อมไม่สามารถใช้อำนาจประกาศยกเลิกหรือ “ฉีก” คำประกาศ ฯ ดังกล่าวได้ แม้จะใช้อำนาจประกาศยกเลิกกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ใช้บังคับในขณะนั้นได้สำเร็จ แล้วก็ตาม
• การใด ๆ ที่คณะรัฐประหารได้ก่อขึ้น (เช่น การกระทำ ประกาศ คำสั่ง เป็นต้น) เมื่อเป็นปฏิปักษ์กับคำประกาศ ฯ ย่อมถือว่าไม่เพียงแต่จะปราศจากความชอบธรรมในทางการเมืองเท่านั้น ยังต้องถือด้วยว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมายโดยปราศจากเงื่อนไข เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อเจตจำนงอันสูงสุดของปวงชนชาวไทย
• หากสังคมไทยเห็นพ้องต้องกันในมาตรการลบล้างผลพวงของรัฐประหาร (ดังคำแถลงการณ์ของนิติราษฎร์ในประเด็นที่ 1) ก็สามารถดำเนินการในลักษณะดังกล่าวกับการรัฐประหารได้ เมื่อสถานการณ์รัฐประหารได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทั้งนี้ ย่อมรวมถึงการดำเนินคดีอาญากับคณะบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร ด้วย
• ดังนั้น สังคมไทยพึงดำเนินการในส่วนนี้เพื่อเป็นบรรทัดฐานในทางกฎหมาย สำหรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดมีขึ้นในอนาคตด้วย
• คำประกาศ ฯ มีผลทำให้การรัฐประหารและการใช้อำนาจทางกฎหมายของคณะรัฐประหารเป็นการอันมิ ชอบด้วยกฎหมายโดยสิ้นเชิงและตลอดสาย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการพิทักษ์รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองและเป็นการยืน ยันเจตนารมณ์ของกฎหมายในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 อันว่าด้วยความผิดฐานกบฏด้วย
3.2 ในสถานการณ์ปกติ
3.2.1 สถานะในทางการเมือง
คำประกาศ ฯ จะเป็นสัญญาประชาคมร่วมกันของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง เป็นการประกาศเจตจำนงสูงสุดทางการเมืองที่ยึดถือหลักอำนาจอธิปไตย “เป็นของ” ปวงชนชาวไทย หลักประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐว่า เป็นหลักการพื้นฐานในระบอบการเมืองการปกครองของประเทศ และจะเป็นบรรทัดฐานอ้างอิงที่ชัดเจนสำหรับการกระทำทั้งหลายทั้งปวงในทางการ เมือง
3.2.2 สถานะในทางกฎหมาย
ดังที่กล่าวแล้วว่า คำประกาศ ฯ จะมีสถานะเป็นเพียงการประกาศเจตจำนงทางการเมืองหรือเป็นสัญญาประชาคมของปวง ชนชาวไทยและไม่มีสถานะใด ๆ ในโครงสร้างทางกฎหมาย แต่คำประกาศ ฯ ในฐานะเป็นเจตจำนงอันสูงสุดของพลเมืองที่จะธำรงไว้ซึ่งระบอบการเมืองการ ปกครองอันชอบธรรม จะถือเป็นหลักการพื้นฐานและความชอบธรรมสำหรับโครงสร้างของระบบกฎหมายใน ประเทศ เป็นคุณค่าอันถาวรและสูงสุดที่ผูกพันกฎหมายรัฐธรรมนูญ องค์กรและสถาบันการเมืองการปกครองทั้งปวงตามรัฐธรรมนูญ มีฐานะเป็นบรรทัดฐานทางกฎหมายเพื่อใช้สำหรับอ้างอิงในแง่การร่าง แก้ไขเพิ่มเติม การใช้และการตีความกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างเป็นการถาวร
4. สังคมไทยที่ผ่านมาในอดีตมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาก่อนแล้วหรือไม่
หากจะกล่าวว่า ข้อเสนอนี้เป็นสิ่งใหม่ที่สังคมไทยยังไม่คุ้นเคยกันมาก่อนเลยก็อาจคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงที่เคยเกิดขึ้นก็เป็นได้
เราจะต้องไม่ลืมว่า “การอภิวัฒน์ 2475” นั้นถูกประกาศอย่างเป็นทางการพร้อมด้วย “หลัก 6 ประการของคณะราษฎร” ซึ่งถือเป็นเจตนารมณ์ที่สำคัญในการอภิวัฒน์ เป็นหลักใหญ่ใจความในการบริหารและปกครองบ้านเมืองในเวลานั้น อีกนัยหนึ่ง “หลัก 6 ประการ” ถือเสมือนเป็น “สัญญาประชาคม” ที่คณะราษฎรผูกพันตนเองและชี้แจงแก่สาธารณชนว่าจะนำการอภิวัฒน์ 2475 ไปในทิศทางใดนั่นเอง กรณีนี้เราจะเห็นด้วยว่า คณะรัฐบาลที่มีขึ้นในช่วงแรกภายหลังการอภิวัฒน์ 2475 ยังถือเป็นธรรมเนียมที่จะปฏิญาณตนก่อนเข้าบริหารราชการแผ่นดินว่า จะยึดมั่นและปฏิบัติตามหลัก 6 ประการของคณะราษฎรสืบไปอีกด้วย
ดังนั้น ข้อเสนอของนิติราษฎร์เพื่อให้มี “คำประกาศ ฯ” จึงมิใช่เรื่องใหม่สำหรับสังคมไทยแต่ประการใด เพราะเป็นสิ่งที่สังคมไทยเคยรับรู้และพยายามสร้างธรรมเนียมปฏิบัติทางการ เมืองการปกครองในลักษณะเช่นว่านี้มาแล้วในอดีต เพียงแต่หลักการหรือเจตนารมณ์พื้นฐานของการปกครองในทำนองนี้อาจถูกลืมเลือน จากสาธารณชนไปบ้าง (ด้วยเหตุปัจจัยหลายประการ)
นอกจากนี้ การเสนอของนิติราษฎร์ให้มี “คำประกาศ ฯ” ก็เพื่อสืบทอดและหยั่งรากจิตวิญญาณประชาธิปไตยให้มั่นคงแน่นหนามากขึ้น และที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งก็คือ เพื่อให้สอดรับกับพัฒนาการทางการเมืองในปัจจุบันที่กำลังก้าวเข้าใกล้หลัก การประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐยิ่งขึ้นด้วยอีกประการหนึ่ง.