ที่มา ประชาไท
พลันที่เห็นข่าว (จะเรียกว่าข่าวได้หรือเปล่าก็ไม่รู้) นายกฯ ปู ใส่รองเท้าบู๊ต Burberry ลุยน้ำท่วม ตามมาด้วยคุณเจ จาติกวนิช ภรรยาคนสวยของคุณกรณ์ จาติกวนิช อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ใส่บู๊ตสีเขียวซ้วย...สวยของ Chanel (อ่านออกเสียงว่า ‘ชาเนล’ สระเอ นะคะ ไม่ใช่ ‘ชาแนล’ สระแอ อ้างอิงตามชาเนล ประเทศไทย) ลุยน้ำท่วมเช่นเดียวกัน ดิฉันก็รีบเปิดตู้รองเท้าค้นหารองเท้าบู๊ตมาใส่ เพราะไม่แน่ว่าอีกไม่นานแถวบ้านก็คงท่วม จะได้มีบู๊ตสวยๆ เก๋ๆ เหมือนสุภาพสตรีทั้งสองไว้ใส่บ้าง จะได้ไม่ต้องไปหาซื้อใหม่ให้เปลืองสะตุ้งสตางค์ เพราะจำได้เลาๆ ว่าที่บ้านมีเรนบู๊ตฮันเตอร์ของ Jimmy Choo อยู่คู่หนึ่งนี่นา...ต้องรีบเอามาปัดฝุ่นขัดเงาเสียแล้ว เพราะไม่นานคงได้ใช้
ข่าวไม่เป็นข่าว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนายกฯ ปูใส่รองเท้าบู๊ต Burberry หรือตามมาด้วยภาพคู่ระหว่างรองเท้า Burberry ของนายกฯ ปู และรองเท้าบู๊ต Chanel ของคุณเจนั้น นอกจากยี่ห้อ ราคา แล้ว ดิฉันยังหาประเด็นไม่ได้ว่า แท้จริงแล้วประเด็นของข่าวคืออะไร ? และการนำเสนอข่าวนี้มุ่งหวังอะไร หรือได้ประโยชน์อะไร (ต่อผู้อ่าน) ? (ขอแอ๊บแบ๊วชั่วขณะนะคะ...นะคะ) โอเค...ถ้าหากพิจารณาว่ามันเป็นเพียงเกร็ดข่าวสนุกๆ อย่างที่เคยทำกันอย่างเช่น นายกฯ ปูใช้ชิเชโด้ อดีตนายกฯ พี่มาร์ค ใช้ลาแมร์ หรือใครแต่งหน้าให้นายกฯ ปู มันก็คงเป็นเกร็ดข่าวสนุกๆ เหมือนนิตยสารกอสซิปเมืองนอกทั้งหลายที่ปาปารัสซี่ชอบไปถ่ายภาพเซเล็บดารา ว่าเธอใส่เสื้อผ้าอะไร ถือกระเป๋าอะไร (เหมือนเคท มิดเดลตันไงคะ) แล้วนำมาลง แต่ประเด็นนี้มันกลับลุกลามไปมากกว่า ‘เกร็ดข่าว’ เพราะเรื่องนายกฯ ปูใส่รองเท้าบู๊ต Burberry ถูกนำมาพูดถึงในเชิงเสียดสี ล้อเลียน ด่าทอ ดังที่ปรากฏในเฟซบุ๊กมากมาย รวมถึงภาพการ์ตูนที่มีคำบรรยายเป็นภาษาอังกฤษที่ตามออกมา แต่จนแล้วจนรอดดิฉันก็ยังไม่เห็นประเด็นว่า แล้วรองเท้าบู๊ต Burberry ที่นายกฯ ปูใส่ มันมีประเด็นตรงไหน ? หรือว่ารองเท้ายี่ห้อนี้ใส่แล้วทำให้น้ำท่วม หรือว่ารองเท้ายี่ห้อนี้ใส่แล้วทำให้โง่ อย่างที่ในเฟซบุ๊กโพสต์กัน
การขาดประเด็น เนื้อข่าว (ไม่ใช่น้ำข่าว) หรือข้อเท็จจริง กลายเป็นเรื่องฮิตที่ปรากฏอยู่บนหน้าเฟซบุ๊กในทุกวันนี้ การใส่รองเท้าบู๊ต Burberry ของนายกฯ ปู ถูกนำไปใช้โจมตี หรือนำไปล้อเลียนเสียดสีอย่างไม่มีประเด็น หรือมีประเด็นอย่างเช่น ความไม่เหมาะสมที่เธอใช้ของแบรนด์ราคาแพงในขณะที่ประชาชนกำลังทุกข์ยากจาก ภัยน้ำท่วม ฯลฯ ถ้าหากเราไม่นาอีฟ (หรืออคติ) จนปัญญาอ่อน เราก็พอจะเข้าใจได้ว่า ไม่ว่านายกฯ ปู หรือคุณเจ ที่ใส่รองเท้าบู๊ตแบรนด์หรูนั้น จากฐานะของทั้งสองที่พอมีเงินจับจ่ายก็น่าจะเข้าใจได้ และเป็นไปได้ว่ามันเป็นรองเท้าที่ทั้งคู่มีอยู่ในแล้วในตู้ที่บ้าน จะหยิบจับมาใส่โดยไม่ต้องซื้อหามาใหม่ให้เสียเงินเสียทองทำไมกัน หรือว่าเรายังติดกับมายาคติว่าด้วยความ ‘โรแมนติก’ อยู่ว่าจะไปหาเสียง ไปหาประชาชนต้องใส่ม่อฮ่อม ผ้าไหมทอมือ ผูกผ้าขาวม้าไปด้วยทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าในตู้เสื้อผ้าคนเหล่านี้ก็มีแต่ของแบรนด์ที่เขามีกำลังซื้อมา สวมใส่ทั้งนั้น
จากภาพข่าวดังกล่าว หากจะทำเป็นประเด็นเชิงแฟชั่น ก็มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่แค่เพียงความถูกแพงของราคา จะเห็นได้ว่านายกฯ ปู เลือกใส่รองเท้า Burberry ซึ่งแฟชั่นนิสต้าทั้งหลายรู้ดีว่า Burberry เป็นแบรนด์เก่าแก่ของอังกฤษที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1856 และที่เราเห็นปุ๊บรู้ปั๊บว่าเป็นแบรนด์ Burberry นั้น ก็เพราะลวดลายอันเป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่าลาย ‘Tartan’ หรือลายตารางนั่นเอง อันประกอบไปด้วยลายตารางสลับสีทั้งกากี น้ำตาลคาเมล ดำ ขาว อันเป็นสีพื้นสุดคลาสสิคของแบรนด์
ในอดีตแบรนด์ Burberry นั้นเป็นที่ชื่นชอบและได้รับความนิยมด้วยซิกเนเจอร์ 2 อย่างคือ อย่างแรกเนื้อผ้าแบบ Waterproof หรือกันน้ำ ซึ่งเป็นผลพวงของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีในการผลิตเนื้อผ้า ที่เจ้าของแบรนด์ Thomas Burberry คิดค้นได้เมื่อปี ค.ศ. 1879 และอย่างที่สองคือลาย Tartan ที่มาพร้อมกับซิกเนจอร์อีกอย่างของแบรนด์นั่นก็คือ Trench Coat ซึ่งเป็นที่รู้จักในปี ค.ศ. 1924 ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นเพราะสภาพภูมิอากาศของอังกฤษ ที่ต้องเจอกับฝนทุกเมื่อเชื่อวัน และไอเท็มเบสิคอย่างร่มลายตาราง เทรนช์โค้ตลายตาราง กระเป๋าสตางค์ หรือรองเท้าบู๊ตลายตางนั่นก็เป็นไอเท็มคลาสสิคและเบสิคที่ Burberry มีให้ช้อปทุกซีซั่นอยู่แล้ว ส่วนไอเท็มที่เป็นแฟชั่นขึ้นมาหน่อย จะเป็นแบรนด์ Burberry Prorsum ที่อยู่ในสังกัดเดียวกัน
ส่วนรองเท้าบู๊ตแบรนด์ Chanel ของคุณเจ นั้น สิ่งที่ทำให้เราเป็นปุ๊บแล้วรู้ปั๊บว่าเป็นแบรนด์ Chanel ก็คือการประดับประดาด้วยดอก ‘คามิเลีย’ ซึ่งชื่อรุ่นของรองเท้าบู๊ตคู่นี้คือ CHANEL Camellia CC Jelly Rain Boots เป็นรุ่นที่เพิ่งออกมาในปี 2010 นี่เอง นอกจากแจ๊กเก็ตผ้าทวีด น้ำหอม Chanel No.5, Little Black Dress หรือสร้อยไข่มุกแล้ว ดอกคามิเลีย ยังเป็นอีกหนึ่งซิกเนเจอร์ของแบรนด์ Chanel ที่โคโค่ ชาเนลชอบนำมาผสมผสานในการทำเสื้อผ้า เริ่มตั้งแต่ต้นยุค 1920s แล้ว ไม่ว่าจะเป็นดอกคามิเลียที่ทำด้วยผ้าที่นำมาประดับบนปกเสื้อ ตามมาด้วยต่างหูดอกคามิเลีย สร้อยดอกคามิเลีย แหวนดอกคามิเลีย และในสองคอลเล็กชั่นที่ผ่านมา รองเท้าแตะพลาสติกใสดอกคามิเลียนั้นเป็นไอเท็มที่ฮอตสุดๆ ของ Chanel ซึ่งบู๊ตอันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในคอลเล็กชั่นนี้ ไม่มีข้อเท็จจริงที่แน่นอนว่าทำไมโคโค่ ชาเนลถึงชอบดอกคามิเลียนัก บ้างว่าโคโค่ ชาเนล ได้แรงบันดาลใจมาจาก Alexandre Dumas ตัวละครนำใน La Dame aux Camellias บ้างก็ว่า หรือเพลงของ Giuseppe Verdi ในโอเปร่าเรื่อง La Traviata หรือไม่มีเหตุผล เป็นความชอบส่วนตัวของเธอ
หากจะนำมาวิเคราะห์เล่นๆ ต่อจากนั้น อาจบอกได้ว่า นายกฯ ปู ค่อนข้างจะเป็นคนเซอร์เวทีฟ เรียบง่ายชอบความคลาสสิค และชอบฟังก์ชั่นมากกว่าแฟชั่น เมื่อดูจากแบรนด์ที่ใช้ หรือรูปแบบความคลาสสิคแบบลายตาราง และการเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในเรื่องไอเท็ม Waterproof ของ Burberry ในขณะที่คุณเจ เป็นคนทันสมัย ชอบความโมเดิร์นคลาสสิค มีความเป็นเฟมินีนสูง และมีความเป็นแฟชั่นนิสต้า ดูได้จากรองเท้ารุ่นนี้ ที่เธอเลือก ที่จริงรุ่นนี้มีหลายสี ส่วนมากที่เห็นคือขาว ดำ ชมพูชานม แต่เธอมีคลาสมากๆ ที่เลือกสีเขียวเข้มมะกอก เพราะสีเบสิคที่ผลิตมามัน Look Cheap มากๆ (ขอดัดจริตนี้ดดด...นึงนะคะ) และหากให้โหวตไอเท็มสองชิ้นของผู้หญิงสองคนนี้ดิฉันขอโหวตให้รองเท้าบู๊ต Chanel ของคุณเจ ที่สวย มีกิมมิคน่ารักๆ อย่างดอกคามิเลีย สีสวย มีคลาส
แต่แน่ละว่าหากมันเป็นเพียงประเด็นแฟชั่น (ซึ่งก็ถูกตราหน้าว่าไร้สาระอยู่ดี) ก็คงไม่ได้รับความสนใจอยู่ดี เพราะตอนนี้เรื่องน้ำท่วม หรือเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวพันกับเรื่องนี้ท่วม มันถูกนำไปใช้เป็นประเด็นทางการเมืองเสียหมด ดังจะเห็นได้จากรูป+ข้อความบรรยาย บนหน้าวอลเฟซบุ๊กในทุกวันนี้ ที่มีอยู่เต้มหน้าจอ ถูกโพสต์ ถูกแชร์ ถูกฟลัด (Flood) ขึ้นซ้ำๆ เช้าเย็นจนเต็มหน้าจอ (ไม่รู้ว่าของคนอื่นเป็นอย่างไร แต่หน้า Home ของดิฉันเป็นประมาณนี้) เริ่มต้นด้วยแค่ถ้อยคำด่าทอนายกฯ รัฐบาล คปภ. ฯลฯ ซึ่งมีทั้งการให้รายละเอียดข้อมูลว่าตำหนิ ติเตียน ด่าทอ ด้วยเหตุผลกลใด หรือในแบบที่ไม่มีเหตุผลกำกับ (ก็เข้าใจได้ว่ามันเป็นเพียงวอลเฟซบุ๊ก ไม่ใช่เนื้อหาอย่างข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์) แต่หนักไปกว่านั้นเมื่อเริ่มมีการแชร์ รูป+เรื่อง ที่เสมือนเป็น ‘ข่าว หรือข้อเท็จจริง’ ตามหน้าเฟซบุ๊กขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
เริ่มต้นด้วยเรื่องนายกฯ ปูเดินบนสะพานไม้ ที่กลายเป็นประเด็นอยู่สักพัก ตามมาด้วยเรื่องรองเท้า Burberry ที่ไม่มีเนื้อความอะไรมากนัก หนักกว่านั้นคือความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในเชิงคอมพิวเตอร์ต่างๆ นานา ไม่ว่ะเป็นการทำเป็นแบนเนอร์ หรือการตัดต่อภาพอย่างสนุกสนาน แต่นั่นก็ยังไม่เท่าไหร่ เพราะใครๆ ที่เห็นก็รู้ได้ว่ามันเป็นการ ‘เล่น’ แต่ (อาจจะ) ไม่ได้หวังผลให้เกิดการบิดเบื้อข้อเท็จจริง แต่ก็เริ่มมี ‘รูปแบบ’ ข่าวหรือข้อเท็จจริงแบบ รูป+เรื่อง ที่พยายามจะบิดเบือนข้อเท็จจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น
1. รูปเมืองทั้งเมืองที่จมน้ำจากเฟซบุ๊กของผู้ที่ใช้ชื่อว่า Happy Richy รูปในอัลบั้มที่ชื่อว่า ‘Photos of เกลียดควาย [[แดง]] เชี่ยแม้ว "กบฎ" แผ่นดิน’ โดยมีที่มีข้อความต่อมาว่า
คนที่ต้องรับผิดชอบ ในเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้
ใครมีข้อมูล หรือหลักฐานเก่าๆช่วยๆนำมาเสนอกันนะครับ
อันนี้ได้จาก Forward Mail ครับ........รู้มั้ยว่าทำไมน้ำถึงท่วมเป็นวงกว้างขนาดนี้....... สาเหตู.....การจัดการบริหารน้ำผิดพลาด
ใครผิดพลาด.....นายปลอดประสพภัย ทำไมถึงเป็นนายคนนี้ เพราะตอนน้ำท่วมช่วงแรกๆ
นายคนนี้เป็นคนสั่งให้เขื่อน ทุกเขื่อนกักน้ำให้ไว้ให้มากที่สุด แทนที่จะปล่อยให้ระบายน้ำออกจาก
เขื่อนตามหลักการที่เคยทำมา เพื่อที่จะทำให้ระดับน้ำที่ท่วมในช่วงนั้นลดลง ...........
โดยไม่สนใจคำคัดค้านจาก ผอ.เขื่อนต่างๆ โดยเฉพาะเขื่อภูมิพล ที่พยายามโต้ เถี่ยงคัดค้านมาโดย
ตลอด จนนายคนนี้ไม่สามารถโต้เถี่ยงจึงกล่าวออกมาว่า
นี่คือคำสั่ง ผมสั่ง...คุณต้องทำ
แล้วเป็นไง....น้ำเหนือที่ยังไม่หมดช่วงมรสุมตะวันออกลงมาที่เขื่อนต่างๆเป็น จำนวนมาก
จะค่อยๆระบายก็ไม่ได้ ต้องกัก...นี่เป็นคำสั่ง จนส่งผลดังปัจุบันที่ เป็นอยู่.....
แล้วเราจะประนามใคร......... ช่วยกระจายเรื่องหน่อยเถอะครับ ชาวไทยจะได้ตาสว่าง*** ชาวเขื่อน ***
น้ำท่วมครั้งนี้ เกิดจากความผิดพลาดการบริหารน้ำทั้งหมด คนที่ต้องรับผิดชอบ ปู ปลอดประศพ
เตี้ยสุพรรณ รมต.เกษตร กรมชล! ฯ ความจริงที่ควรรู้๑.ปริมาณน้ำไม่ได้มากกว่าปี ๔๙ และ ๓๘
๒. เพียงแต่น้ำมาเร็วกว่าปกติประมาณ ๔๕ วัน
๓. ทำให้มีการกักน้ำไว้ไม่ให้ไปท่วมนาที่ยังเก็บเกี่ยวไม่เสร็จ
๔. บรรหารไม่ยอมให้ผันน้ำไปท่าจีนตั้งแต่แรก ทำให้เกิดการแตก ของบาง โฉมศรีทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติหนัก
๕. อ้ายเหลี่ยมรู้ดีดังนั้นตอนที่อ้ายพายัพ มันออกมาโวย อ้ายเตี้ยสุพัน มันจึงรีบออกมาห้ามเพราะม่ายงั้น จะความแตก เพราะงานนี้ชิหายเกินกว่าจะคาดคิด
๖. อ้ายปลอดประศพสั่งไม่ปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพล ตั้งแต่แรกเพราะต้องการให้ ตอนล่างเก็บเกี่ยวเสร็จ พอน้ำเหนือมามาก จนท่วมตัวเมืองเชียงใหม่จึงต้องปล่อย น้ำลงเขื่อนจนน้ำในเขื่อนเกิดวิกฤติ ต้องปล่อยน้ำจำนวนมาก ติดต่อกัน
๗. หลายพื้นที่มีการกักกันน้ำ โดยเน้นไม่ให้พื้นที่ฐานเสียง ที่ยังเก็บเกี่ยวไม่เสร็จถูกน้ำท่วมยิ่งเป็นการซ้ำเติม ให้น้ำมีมวลมากก้อนใหญ่และรุนแรง หลายพื้นที่ไม่เคยท่วมหรือท่วมหนักจึงโดนกันทั่ว
๘.มีการบริหารผิดพลาดที่อยุธยาทำให้ ตัวเมือง เกาะเมือง และนิคมวายวอด ฝีมือหลักของอ้ายปลอดประศพ
๙.ใบเสร็จทั้งหมดดูได้จาก ปริมาณน้ำของแม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำสายอื่นๆ ที่มีการเก็บข้อมูล
๑๐. ผู้ได้รับความเสียหายควรฟ้องศาลปกครอง เรียกให้รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องรับผิดชอบค่าเสียหายเพราะเป็นการปฏิบัติงาน ผิดพลาดร้ายแรง รวมถึงม.๑๕๗
๑๑.ย้ำอีกครั้งว่าอย่าอ้างภัยธรรมชาติ เป็นฝีมือห่วย๑๐๐%
สรุปต้องลากคอ บรรหาร ธีระ ปู ปลอดประศพ อธิบดีกรมชล มารับโทษ โดยใช้หลักฐานจากข้อมูลน้ำทั้งหมด ซึงถ้าฟ้องศาลปกครอง ให้ศาลออกหมายเรียก เอกสารพวกนี้มาดูได้ ประเทศชิหายขนาดนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ
โดย Leonet
ซึ่งในข้อความนั้นก็ไม่ปรากฏหลักฐาน ข้อเท็จจริงอะไรเลย นอกจากคำกล่าวลอยๆ และที่โอละพ่อไปกว่านั้นคือรูปที่ใช้ประกอบการอ้างอิงเป็นภาพน้ำท่วมนั้น ไม่ใช่ภาพที่เกิดในเมืองไทยในขณะนี้ แต่เป็นภาพที่เกิดจากพายุเฮอริเคน แคทริน่า ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเราสามารถเสิร์จคำว่า ‘hurricane katrina’ ในกูเกิ้ลส่วนของรูปภาพได้ และจะปรากฏภาพนี้ออกมา เหมือนกันเปี๊ยบ...
หรือจะเป็น
2. รูปนายกฯ ปู กำลังถือมือถือถ่ายรูปบนเฮลิคอปเตอร์ ของผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ชื่อ ‘NooAnn Subthamrong’ ในอัลบั้มที่ชื่อ ‘การเมืองไทย ??’ โดยมีข้อความประกอบว่า
“อนาคตของประเทศไทยก็น่าห่วงยิ่งนัก !!! ลาออกเสียเถอะบ้านเมืองไม่ใช่ของเล่นของคุณไปนั่งแอ๊บแอ้วที่บริษัทตระกูล ชินดีกว่า มั้ง..... —“
โดยเนื้อหาก็ไม่มีประเด็น หรือข้อเท็จจริงอะไร ไม่ได้ลิ้งก์กับรูป แต่ที่โอละพ่อกว่านั้นคือรูปที่หยิบยืมมาใช้นั้นเป็นรูปในช่วงที่ยิ่งลักษณ์ ยังไม่ได้เป็นรัฐบาล ยังอยู่ในช่วงหาเสียง ซึ่งเป็นรูปจากข่าวของหนังสือพิมพ์แนวหน้า ในวันที่ 14 มิถุนายน 2544 ใช้ชื่อว่าว่า ‘แอ๊กชั่น’ มีบรรยายประกอบภาพว่า “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครสส.ระบบบัญชีรายชื่อ อันดับ 1 พรรคเพื่อไทย ใช้กล้องมือถือถ่ายภาพทิวทัศน์ ขณะขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปปราศรัย ที่โรงเรียนศรีจอมทอง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่” (http://www.naewna.com/news.asp?ID=266017)
หรือล่าสุดที่เลยเถิดไปกว่านั้นคือ มีการโพสรูปพระบาทสมเด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2 แบบ แบบแรกมาจากเจ้าของเฟซบุ๊กใช้ชื่อว่า ‘Supakorn Nok เรารักในหลวง’ มีข้อความประกอบรูปประหนึ่งเป็นพระราชดำรัส ว่า
“ในหลวงทรงมีรับสั่ง: ถ้าน้ำเข้าพระนครให้ผ่านวังสวนจิตรไปเลย อย่ากั้นนำ ให้ผ่านวังไปเลย”
และอีกรูปแบบหนึ่งจากผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ‘เล็ก รักพ่อหลวง’ ในหัวข้อ ‘การเมืองเรื่องผลประโยชน์' โดยมีข้อความแตกต่างจากรูปแบบแรกเล็กน้อยว่า
"ถ้าน้ำเข้าพระนคร ให้น้ำผ่านวังสวนจิตรไปเลย อย่ากั้นให้ผ่านไปเลย" ทรงพระเจริญ
ซึ่งในเวลาต่อมา สำนักพระราชวังปฏิเสธข่าวลือเฟซบุ๊ก เรื่องในหลวงรับสั่งฯ ให้น้ำผ่านสวนจิตรฯ ตามข่าวที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ออนไลน์ต่างๆ (http://prachatai.com/journal/2011/10/37486)
ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าผู้ที่กระทำการดังกล่าว โดยนำรูปพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นรูปที่มาจากเหตุการณ์ใด วันเวลาใด มาประกอบกับพระราชดำรัสที่สำนักพระราชวังออกมาปฏิเสธแล้วว่าในหลวงทรงมิได้ รับสั่งฯ เช่นนั้น จะมีความผิดทางกฎหมายหรือไม่
ไม่ว่าจะอย่างไร ประเด็นนี้ที่น่าสนใจสำหรับดิฉันก็คือ อะไรที่ทำให้เรา ‘เชื่อ’ บรรดาข้อความ (บวกรูปภาพ) เหล่านั้น แชร์ต่อจนกลายเป็นแชร์ลูกโซ่บนหน้าวอลเฟซบุ๊ก อะไรที่ทำให้เรา ผู้ที่มีการศึกษาทั้งหลาย ที่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ ไม่คิดที่จะใช้สติหยุดคิด เพื่อตรวจสอบ แหล่งที่มา ข้อเท็จจริง ของโพสต์นั้นๆ แต่กลับรีบแชร์รีบแสดงความคิดเห็นอย่างบ้าคลั่ง และที่สำคัญในขณะที่บ้านเมืองกำลังเกิดวิกฤติน้ำท่วม และผู้ที่ใช้เฟซบุ๊กอีกหลากหลายคนที่ใช้เฟซบุ๊กเป็นช่องทางในการให้ข้อมูล ข่าวสาร การแจ้งเตือน การขอความช่วยเหลือ ฯลฯ แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งกลับกำลังสนุกสนานในการสร้างสรรค์ข้อเท็จจริงที่บิดเบือน ขึ้นมา และคนอีกกลุ่มหนึ่งก็หลงงมงาย ขาดสติ รีบแชร์ รีบคอมเมนต์โดยปราศจากคิดใคร่ครวญ ตั้งคำถาม ประเมิน ตรวจสอบว่าโพสนั้นๆ จริงเท็จอย่างไร และแม้จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย จะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่การแชร์ต่อ การฟลัดเรื่องราวเหล่านี้อย่างต่อเนื่องมันก็เท่ากับการโหมกระพือข้อเท็จ จริงอันบิดเบือนสู่สังคม (ที่กำลังวุ่นวายและทุกข์ด้วยภัยพิบัติ) อยู่ดี แทนที่เราจะได้รับรู้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์เพื่อป้องกัน รับมือ หรือช่วยเหลือกันและกันในยามทุกข์ยากนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าบนหน้าเฟซบุ๊กมันกลับท่วมท้นไปด้วยข้อเท็จจริงอันบิด เบือน ที่ถูกโพสต์ ถูกแชร์ ก่นด่าด้วยความสะใจ หยาบคาย ไร้สติไร้เหตุผลอย่างสนุกสนาน
มันคืออคติทางการเมืองใช่หรือไม่ ? มันคือเกมทางการเมืองบนความทุกข์ร้อนและคราบน้ำตาของประชาชนใช่หรือเปล่า ?
อคติทางการเมือง การสาดโคลนทางการเมือง มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในสังคมการเมืองนี้ สิ่งที่น่าเสียใจที่สุด ไม่ใช่การยอมรับไม่ได้ที่มีการสาดโคลนกัน เพราะเราคงไม่นาอีฟที่จะไม่เข้าใจปรากฏการณ์นี้ขนาดนั้น แต่เป็นการที่บรรดาคน คนแชร์รูป+เรื่องนั้นๆ ทั้งหลาย ที่มืดบอดต่อการตรวจสอบข้อเท็จจริง เอนเอียงไปด้วยอคติจนหลงลืมทั้งกาละเทศะในวิกฤติบ้านเมืองที่กำลังเผชิญ และบรรดาคนที่แชร์รูป+เรื่องนั้นๆ ที่ไม่ว่าคุณจะ ‘เลือกข้าง’ หรือ ‘นิยมชมชอบ’ หรือ ‘เกลียด’ ใคร ฝ่ายใด ข้างใด ก็ตาม การตั้งคำถาม การประเมิน การตรวจสอบ ว่าอันไหนเท็จ อันไหนจริง ก่อนที่จะแสดงความคิดเห็น การเป็นเจ้าของอความคิด อุดมการณ์นั้นๆ ในรูปแบบการชอแชร์เรื่องราวนั้นๆ มันก็เป็นพื้นฐานของผู้ที่มีการศึกษา มีอารยะ วัฒนธรรม ในสังคมประชาธิปไตยไม่ใช่หรือ ทำไมเราถึงหลงลืมที่จะตรวจสอบ ความถูกผิดบิดเบือนแล้วรีบประโจนลงไปเล่นสนุกสนานอย่างง่ายดายได้ขนาดนั้น หรือว่าแท้ที่จริงแล้ว เราไม่สนหรอกว่า อันไหนจะเท็จ อันไหนจะจริง แต่เราล้วนบูชาลัทธิความเชื่อส่วนตัวของเราและพร้อมจะมืดบอดต่อตรรกะ เหตุผล ความจริงเท็จ ทุกประการ
ในขณะที่หน้าเฟซบุ๊กยังเต็มไปด้วยข้อความที่ว่า ไม่อยากได้ผู้นำ หรือนายกฯ ‘โง่’ ในประเทศนี้ เรา...ประชากร พลเมืองในประเทศก็อย่าได้แชร์ข้อความที่บืดเบือนข้อเท็จจริงด้วยอคติทางการ เมืองต่อด้วยความ "โง่ๆ" โดยไม่ดู ไม่หยุดคิดสักนิดที่จะตั้งคำถาม ตรวจสอบ เลยว่ารูปกับเรื่อง ตรงกันไหม ข้อความเหล่านั้นเป็นเท็จเป็นจริงประการใด จงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยข้อมูล ข้อเท็จจริง สติ และเหตุผล กันดีกว่า อย่าได้ปล่อยไก่ แสดง (หรือตกเป็นเหยื่อ) ความ ‘โง่’ ของตัวเองโดยการแชร์ การฟลัด สิ่งที่บิดเบือนข้อเท็จจริงด้วยอคติ หรือประเด็นทางการเมืองออกมาอีกเลย
น้ำท่วมประเทศครั้งนี้ คงไม่ใช่เพียงแค่ผู้นำที่โง่อย่างที่มีการกล่าวอ้าง แต่ประชากร (ในเฟซบุ๊ก ?) ในประเทศก็ไม่ได้ฉลาดเท่าไหร่ น้ำเลวทางการเมืองที่บิดเบือนและสกปรกโสมมจึงท่วมเฟซบุ๊กเช่นเดียวกั