ที่มา บางกอกทูเดย์
เวลาและวารี ไม่ยินดีจะรอใคร!!!ฉะนั้น คนที่ทำงานเป็นย่อมจะรู้ดีว่า หากจะให้เห็นผลงานทันอกทันใจ จะต้องลงมือทำให้ทันกับเวลาที่เดินไปข้างหน้าตลอดเวลาหากอาศัยเพียงลมปาก ซื้อเวลาปล่อยผ่านไปวันๆ ผลงานที่ได้ก็เพียงแค่น้ำลายที่ฟุ้งกระจายและหล่นร่วงลงสู่พื้นดินเท่านั้นย่อมยากจะจับต้องได้ หรือยากที่จะเป็นรูปธรรมให้ควรค่าแก่ความภาคภูมิใจทำงานเป็นหรือไม่เป็น ต่างกันตรงนี้แหละโดยเฉพาะในการเป็นรัฐบาล ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่สื่อมวลชนต่างๆต้องการเห็นผลงานและตรวจสอบการทำงานที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพประชาชนทั้งประเทศก็แหงนคอรอคอยผลงานที่จะช่วยให้ลืมตาอ้าปาก มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยกันทั้งนั้นดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมื่อผ่านระยะเวลาในการเป็นรัฐบาลมาได้ 6 เดือน หรือ 180 วันแล้ว จะมีคำถามพุ่งเข้าใส่รัฐบาลที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีว่าผลงานอยู่หนใดผลงานมีอะไรบ้าง???เพราะในความเป็นจริง ดูเหมือนแม้แต่ผู้ที่เชียร์หรือสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เอง ก็ยังยอมรับว่ายังหาผลงานที่เป็นจุดเด่นจริงๆ จังๆ ของรัฐบาลชุดนี้ได้ลำบากแต่หากมองหาร่องรอยความขัดแย้งในการทำงานร่องรอยของปัญหาและความล้มเหลวในการทำงานสารพัดโครงการแล้ว…น่าจะหาได้ง่ายกว่าทั้งๆ ที่หากยังจำกันได้ในช่วงการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์เคยออกนโยบาย แผนปฏิบัติการ 99 วันทำได้จริง เอาไว้อย่างสวยหรูแต่ทำไมเมื่อได้โอกาสพลิกขึ้นมาเป็นรัฐบาลเข้าจริงๆ จนผ่านไปกว่า 180 วันแล้ว ผลงานกลับไม่มีอะไรที่เป็นเนื้อเป็นหนังแต่อย่างใดซึ่งในแผนปฏิบัติการ 99 วันทำได้จริง ที่ นายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมคณะทำงานขับเคลื่อนวาระประชาชนของพรรค ได้ประกาศไว้นั้นมีทั้งเรื่องลดค่าครองชีพ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ แก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และนโยบายเรียนฟรีที่สำคัญนายอภิสิทธิ์ได้มีการยืนยันไว้ด้วยว่า พร้อมจะรับผิดชอบกับสิ่งที่พรรคได้ประกาศออกไป หากว่าไม่สามารถทำได้จริงแล้ววันนี้ เป็นรัฐบาลมีอำนาจเต็มในมือ
แม่ทัพนายกองขุนทหารที่คุมกำลังในยุคปัจจุบัน ก็หนุนอย่างพร้อมพรั่งกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ ก็ทำตัวเรียบร้อย ไม่เป็นอุปสรรคในการทำงานของรัฐบาลเลยแม้แต่นิดเดียวกลุ่มสังคมชั้นสูง กลุ่มธุรกิจ กลุ่มผู้กุมอำนาจ ล้วนแล้วแต่ส่งเสริมให้กำลังใจและให้แรงเชียร์กันอย่างชัดเจนแล้วไฉนผลงานของรัฐบาลเทพประทานจึงหาได้ยากยิ่งด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ว่า 6 เดือนแล้วยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนได้จริงทั้งยังไม่สามารถจัดการกับปัญหาต่างๆ ได้ แม้แต่การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009เพราะถึงขณะนี้ นายวิทยา แก้วภราดัย คนของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็ถูกวิจารณ์ว่าไม่มีมาตรการป้องกันที่ดีพอ จนทำให้ลุกลามไปทั่วประเทศสุดท้ายต้องเปลี่ยนโหมดจากการป้องกันการแพร่กระจายมาเป็นโหมดของการรักษาเยียวยา และรอคอยความหวังที่ฝากไว้กับวัคซีนซึ่งกว่าจะมาก็อีก 5 เดือน ประมาณเดือนธันวาคมหรือมกราคม 2553 โน่นแหละซึ่งไม่รู้ว่าระหว่างทางที่รอคอย ประชาชนคนไทยจะต้องตายกันอีกเท่าไร เพราะเวลานี้ได้ใช้วิธีแก้ไขปัญหาด้วยการเปลี่ยนการสรุปรายงานจาก Daily Report มาเป็น Weekly Reportไปแล้วฉะนั้น ตัวเลขต่างๆ จึงถูกประวิงให้ล่าช้าไปหมดแม้แต่ข้าราชการระดับ 8–9–10 ในกระทรวงยังบ่นอุบว่าทำอะไรไม่ได้ เพราะรัฐมนตรีไม่ใช้งาน เลือกใช้แต่คนรอบข้างที่ทำงานไม่เป็น หรือทำงานให้เสียหายมาแล้วก็ยังทู่ซี้ใช้งานกันอยู่มาที่เรื่องของ ปัญหาค่าครองชีพ ซึ่งรัฐบาลแทนที่จะสร้างผลงานให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมีความสุข เพราะสู้อุตส่าห์ทุ่มทุนแจกเงินช่วยค่าครองชีพเป็นเช็คช่วยชาติคนละ 2,000 บาทให้กับ 8 ล้านกว่าคนแต่เงินเช็คช่วยชาติช่วยอะไรไม่ได้เลย เมื่อเทียบกับการที่กระทรวงการคลังได้มีการไปขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพราะเติมน้ำมันราคาแพงหูตูบแค่ 2-3 ครั้ง ก็หมดเกลี้ยงแล้ว2,000 บาท
จึงทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า เป็นการทำที่ไม่เหมาะสมแทนที่จะขึ้นภาษีเหล้าขาวกลับขึ้นภาษีน้ำมัน ซึ่งเป็นต้นทุนในการขนส่ง ต้นทุนสินค้าทุกชนิด จนทำให้ราคาน้ำมันในประเทศสูงผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็นแต่รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่าง นายกรณ์ จาติกวณิชรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง น.พ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังหรือแม้แต่นายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี ก็อ้างแต่ว่าเป็นเพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกทั้งๆ ที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดจากระดับ 120 เหรียญต่อบาร์เรล ลงมาอยู่ที่ 60 เหรียญต่อบาร์เรลแล้ว แต่ราคาน้ำมันในประเทศไทยก็ยังสูงอยู่ในระดับเดิมๆและแม้ว่าจะมีกระแสข่าวออกมาว่า เพื่อลดแรงวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน อาจจะมีการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลงมา แต่ก็มีข่าวออกมาในทันทีว่า หากลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันก็จะเพิ่มการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันแทนในทันทีซึ่งสุดท้ายที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก็ยังไม่กล้าที่จะพิจารณาเรื่องนี้แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ราคาน้ำมันที่ยังสูงอยู่ ได้กดดันให้ค่าครองชีพไม่ได้ลดลงอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์ประกาศไว้ยิ่งเรื่องของ ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ประชาชนเห็นชัดเจนว่าปัญหายุติหรือว่าปัญหารุนแรงขึ้นกันแน่ เพราะการลอบทำร้ายลอบฆ่าผู้บริสุทธิ์ ยังคงเกิดเป็นรายวันไม่ยอมหยุด ซ้ำบางช่วงยังปะทุมากขึ้นด้วยแต่แทนที่นายอภิสิทธิ์จะเลือกลงไปดูแล สร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนและข้าราชการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กลับเลือกที่จะไปลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ แล้วขนกองกำลังอารักขาไปเต็มเพียบ ทั้งกำลังทหาร ทั้งเฮลิคอปเตอร์หรือแม้แต่เสื้อเกราะทั้งๆ ที่บุรีรัมย์ไม่ได้เป็นดินแดนมิคสัญญี หรืออันตรายมีเหตุรุนแรงเช่นที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดภาคใต้เสียเมื่อไหร่ภาพที่ออกมาในสายตาประชาชนจึงติดลบไปเต็มๆ
แถมผลงานที่ได้ก็คือ ไปรับงาช้างคู่งามมาจาก นายโสภณซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งปกติงาช้างคู่งามๆขนาดนั้น มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200,000–300,000 บาทอย่างแน่นอนเลยกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกว่า รับของที่มีมูลค่ามากกว่า 3,000 บาทได้อย่างไร!!!ในขณะที่นายโสภณเองก็โดนตั้งคำถามว่า งาช้างคู่งามและมีราคาขนาดนี้ ตอนลงบัญชีแจ้งทรัพย์สินไม่เห็นแจ้งเอาไว้เลยว่างาช้างนี้ท่านได้แต่ใดมาที่สำคัญ แม้แต่แผนงานในเรื่องของ นโยบายเรียนฟรีซึ่งควรเป็นมาตรการที่ทำได้จริงมากที่สุด กลับกลายเป็นว่าในช่วงเปิดเทอมเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มาตรการเรียนฟรีถูกวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดาผู้ปกครองทั่วประเทศอย่างหนักเพราะจนถึงวันนี้ยังไม่มีผู้ปกครองคนใด พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเรียนฟรีเลยจริงๆมีแต่จ่ายน้อยหรือว่าจ่ายมากซึ่งส่วนใหญ่และโดยเฉพาะกรณีที่บุตรหลานเรียนอยู่โรงเรียนเอกชน เกือบ 100% ยังจ่ายหนักในระดับเรือนหมื่นบาทต่อภาคการศึกษาอยู่เช่นเดิมแต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดในช่วงของการถามหาผลงานของรัฐบาลอภิสิทธิ์นั้น ปรากฏว่ามีกรณีของการขัดแย้งในรัฐบาลออกมาเป็นระยะ เช่น กรณี นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรีดูแลด้านเศรษฐกิจ ซึ่งก่อนหน้านั้นได้มีความขัดแย้งในการทำงาน แย่งผลงานกับ นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มาโดยตลอด จนทำให้การแก้ไขในเรื่องราคาพืชผลทางด้านการเกษตรไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควรหรือกรณีที่มีกระแสข่าวออกมาว่า นายกอร์ปศักดิ์มีการไปบ่นกับคนใกล้ชิด แล้วคนใกล้ชิดก็เอามาเล่าต่อให้นักข่าวสายทำเนียบฟังอีกทีว่านายกอร์ปศักดิ์ไม่แฮปปี้กับการทำงานของ นายกรณ์จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพราะไม่เห็นด้วยกับแนวทางการทำงานของนายกรณ์ที่มัวไปให้ความสำคัญกับมาตรการไทยเข้มแข็งซึ่งเป็นมาตรการระยะปานกลางถึงระยะยาว และเอาแต่ลงพื้นที่ต่างจังหวัด แทนที่จะเร่งมาตรการระยะสั้น เร่งการเบิกจ่ายงบ เพื่อให้เศรษฐกิจกระเตื้องเร็วขึ้นกลับไม่ทำ
รวมไปถึงแม้แต่กระทั่งการทำงานของนายอภิสิทธิ์นายกรัฐมนตรี นายกอร์ปศักดิ์ก็รู้สึกอึดอัดไม่น้อย เพราะภาพของนายอภิสิทธิ์ในเรื่องการทำงาน สะท้อนว่าที่ผ่านมาไม่ได้ดูแลภาพรวมของเศรษฐกิจของประเทศอย่างจริงจังมัวแต่ไปให้ความสำคัญกับงานรับเชิญไปเปิดงานสัมมนาและงานแสดงสินค้า โดยแต่ละวันจะมีงานกล่าวปาฐกถาไม่ต่ำกว่า 1-2 งานและเกิดปัญหางานชนกันมาแล้วคือ มีกำหนดแถลงผลงานรัฐบาล 6 เดือนร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)แต่นัดชนกับการแถลงผลงานของกระทรวงยุติธรรม ทำให้ที่สุดไม่ไปแถลงผลงานร่วมกับ สศช.พอเรื่องนี้ปูดออกมาเท่านั้น นายกอร์ปศักดิ์ก็ดิ้นพล่านรีบแก้ข่าวเลยว่า ไม่จริง ไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น ยังทำงานร่วมกับทั้งนายอภิสิทธิ์และนายกรณ์ได้เป็นอย่างดีแต่แน่นอนว่าเรื่องนี้แม้จะปฏิเสธเสียงแข็งคอเป็นเอ็นแต่ลึกๆ แล้วก็ยังเป็นร่องรอยที่เห็นชัดเจนถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้นอกเหนือจากผลงานความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างเด่นชัดระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย กลุ่มเพื่อนเนวินซึ่งจนวันนี้ โครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ซึ่งโดยหลักการแล้วเป็นเรื่องดีเป็นเรื่องจำเป็นของคนกรุงเทพฯแต่พอถูกเอาไปโมดิฟายด์เป็นโครงการโคตรรถเมล์ฝังเพชรเท่านั้น โครงการนี้ก็เลยไม่เกิดถึงเวลาหรือยัง ที่นายอภิสิทธิ์จะต้องหันมาทบทวนบทบาทของตนเอง ทบทวนความสามารถในการทำงานของตนเองและบรรดารัฐมนตรีร่วมคณะทั้งหลายว่าหากมีผลงานแค่ไรฝุ่นแบบนี้ ประชาชนมองไม่เห็นจริง!!!หากยังไม่ยอมตาสว่าง...เวลาที่พยายามซื้ออาจจะหดสั้นลงก็เป็นได้เพราะทุกวันนี้นายกฯ อภิสิทธิ์และ ครม. มีสภาพเหมือน“คนไล่จับเงาตัวเอง”?!? ■