ที่มา Thai E-News
คุณจักรภพ เพ็ญแข ได้มีโอกาสสนทนาเข้ามาทางรายการวิทยุก็พูดในทำนองเดียวกันว่า “การเลือกตั้งภายใต้ระบอบเผด็จการไม่ใช่หนทางนำประชาธิปไตยมาสู่ชาติ” และมีหลาย ๆ กระแสเริ่มออกมาแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน...
ไม่ว่าจะมองในทางไหนหรือในแง่มุมใด รัฐบาลเทพประทาน มาร์ค ม. 7 ก็ดูท่าจะไปไม่รอด
ต่อให้เป็นรัฐบาลเทพอุ้มสม หรือรัฐบาลเทพประทานขนาดไหนก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นและรุมเร้ารัฐบาลขณะนี้มันยากลำบากรุนแรง และปมเงื่อนมันสลับซับซ้อนเกินกว่าที่จะแก้ไขให้จบสิ้นได้ในเร็ววัน...
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่รัฐบาลไม่มีปัญญาทำอะไรในการเพิ่มรายได้นอกจากอาศัยเงินกู้ และออกพันธบัตรให้ประชาชนกินดอกเบี้ย ซึ่งที่จริงก็คือเงินของภาษีของตัวเองน่ะิแหละ....
ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่นับวันแต่จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ....
ปัญหาความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีปัญหากับเขาไปทั่ว....
ปัญหาสาธารณสุขโรคไข้หวัด 2009 ที่กำลังกลายเป็นจุดตายของรัฐบาลที่ล้มเหลวในการบริหารจัดการด้านการป้องกัน... เพราะครั้งนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนโดยตรง
การเปิดแนวรบเข้าโจมตีกองกำลัง และฐานอำนาจของเผด็จการอมาตย์ในหลายๆ แนวรบ ไม่ว่าจะเป็นการโฟนอินเรื่่องการแก้ไขเศรษฐกิจชาติของท่านนายกทักษิณ...
การเข้าชื่อถวายฎีกาเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ท่านนายกทักษิณ....
หรือแม้กระทั่งแรงกดดันให้มีการดำเนินคดีข้อหาผู้ก่อการร้ายสากลแ่ก่นายกษิต ภิรมย์ และกลุ่มแกนนำพันธมิตร...
เหล่านี้ล้วนส่งผลร้ายจนถึงขั้นพลังอำนาจของเผด็จการอมาตย์ที่เคยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมสั่นคลอนลงอย่างเห็นได้ชัด
รัฐบาลมาร์ค ม. 7 ก็มิได้เป็นรัฐบาลที่เข็มแข็งอะไร เพราะลำพังเสียงในสภาของพรรค ประชาธิปัตย์เอง ก็มีเพียง 164 คนเท่านั้น ถ้าไม่ได้เสียงสนับสนุนจากพรรคงูเห่าของภูมิใจไทยก็ล่มอย่างแน่นอน...
และข้อเท็จจริงก็คือ ส.ส. ปัจจุบันในพรรคภูมิใจไทยก็เคยเป็นอดีต ส.ส. ในพรรคพลังประชาชนมาก่อนทั้งสิ้น แม้ว่าปัจจุบันจะกลายเป็น ส.ส. งูเห่าแตกแยกกันไปกับพรรคเพื่อไทย แต่ถึงอย่างไรก็เหมือนกับ “คนบ้านเดียวกัน...พี่น้องกันทะเลาะกัน” วันหนึ่งก็อาจจะกลับมาคืนดีกันก็ได้เพราะเคยเป็นน้ำเนื้อเดียวกันมาก่อน ซึ่งไม่เหมือนกับการเข้ามารวมกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นคนละน้ำคนเนื้อกัน....
มีการคาดหมายกันอย่างกว้างขวางว่ารัฐบาลนี้คงมีอายุอยู่ได้ไม่เกินสิ้นปีนี้ จากนั้นจะต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แต่ที่รัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ยังไม่ยอมยุบสภาในขณะนี้ทั้ง ๆ พรก. กู้เงิน800,000 ล้านก็ผ่านไปแล้ว ส่วนสำคัญก็เพราะว่าเหตุการณ์การเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสกลนคร และที่ศรีสะเกษเป็นตัวอย่างทำให้เกิดความไม่แน่ใจว่า ถ้าเกิดการเลือกตั้งใหญ่ครั้งใหม่จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกหรือเปล่า....
ซึ่งนี่คือความคิดในมุมมองของรัฐบาลเทพประทาน และพรรคร่วม
แต่ในส่วนมุมมองของคนเสื้อแดงผู้ต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยนั้น กลับมีเรื่องที่น่าจะต้องนำมาพิจารณากันอย่างรอบคอบก็คือว่า “ถ้าเกิดการยุบสภาขึ้นในครั้งนี้และมีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้น พี่น้องคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยควรจะไปร่วมเลือกตั้งด้วยหรือไม่?” ผมมองว่าประเด็นนี้น่าจะเป็นประเด็นที่พึงนำมาพิจารณาเพื่อวางแผนยุทธศาสตร์กันอย่างเร่งรีบมิใช่น้อย....
ก่อนจะมีการเลือกตั้งซ่อมที่จัุงหวัดสกลนคร อาจารย์ชูพงศ์ ถี่ถ้วน ได้เป็นผู้จุดประเด็นเรื่องการ Vote No ในการเลือกตั้งครั้งนั้น โดยให้เหตุผลว่า “การเลือกตั้งในระบอบเผด็จการนั้นไม่มีประโยชน์อันใดเลย เพราะถึงแม้ว่าจะได้เป็นรัฐบาลก็จะยังคงถูกอำนาจเผด็จการนอกรัฐธรรมนูญทำลายอยู่ดี (ดังที่มีตัวอย่างมาแล้ว 2 รัฐบาล) ดังนั้นการใช้เวทีเลือกตั้งลงประชามติให้ประชาชนแสดงความเห็นถึงพิษภัยและอำนาจเผด็จการด้วยการ Vote No คือการปฏิเสธการเลือกตั้งในระบบเผด็จการนี้ จึงเป็นหนทางออกที่ดีที่สุดเพื่อส่งสัญญาณให้เกิดการยอมรับในระดับนานาชาิติ”
การจุดประเด็นในครั้งนั้นเป็นข้อถกเถียงที่ ฮือฮากันมาก จนทำให้คนเสื้อแดงเกือบจะแตกทางความคิดออกเป็น 2 ฝ่าย แต่ในที่สุด อาจารย์ชูพงศ์ ก็ยอมถอยด้วยการขอถอนความคิดนี้ในการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมาโดยให้เหตุผลว่า คนเสื้อแดงก็เหมือนคนที่กำลังเดินทางไปบนถนนเส้นเดียวกัน บางคนอาจจะแวะที่สระบุรี บางคนอาจจะแวะที่พิษณุโลก บางคนอาจจะมีเป้าหมายไปที่เชียงใหม่ ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด เพราะทุกคนอยู่บนถนนเส้นทางเดียวกัน จากนั้นก็หันมาให้การสนับสนุนผู้สมัครพรรคเพื่อไทยแทน และเมื่อคนเสื้อแดงรวมพลังกันได้ในที่สุดก็ทำให้ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยก็ชนะถล่มทลาย ทั้งที่จังหวัดสกลนคร และที่ศรีสะเกษ...
นั่นคือการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา
แต่ในการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้ต่างหากที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง... เวลานี้ประชาชนไทยโดยเฉพาะพี่น้องที่อยู่ตามต่างจังหวัดเริ่มมีความเข้าใจถึงอำนาจมืดของเผด็จการอมาตย์ที่ได้ครอบคลุึมประเทศไทยมาเป็นเวลาช้านานแล้ว พี่น้องเหล่านั้นต้องการต่อสู้ให้ประเทศนี้มีความเป็นประชาธิปไตยและประชาชนทุกคนมีสิทธิที่เท่าเทียมกัน ไม่เกิด 2 มาตรฐานขึ้นในการบังคับใช้กฎหมาย พี่น้องเหล่านั้นเริ่มมองเห็นแล้วว่า การเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบที่จะนำไปสู่การได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตย แต่ตรงกันข้ามกลับเป็นการต่ออายุให้อำนาจเผด็จการเสียด้วยซ้ำ...
คุณจักรภพ เพ็ญแข ได้มีโอกาสสนทนาเข้ามาทางรายการวิทยุก็พูดในทำนองเดียวกันว่า “การเลือกตั้งภายใต้ระบอบเผด็จการไม่ใช่หนทางนำประชาธิปไตยมาสู่ชาติ” และมีหลาย ๆ กระแสเริ่มออกมาแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน...
เป็นความจริงอย่างยิ่งว่า พี่น้องคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยทุก ๆ คนต่างก็ต้องการให้ประเทศนี้ได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยขอให้เพียงให้บอกมาแระกันว่าจะต้องทำอย่างไร ก็ยินดีทำตามทั้งสิ้น จะเห็นได้จากการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสกลนคร, ศรีสะเกษ การรวบรวมรายชื่อถวายฎีิกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ท่่านนายกทักษิณ (ซึ่งขณะนี้มีมากกว่าล้านคนแล้ว)
ด้วยเหตุนี้การกำหนดยุทธศาสตร์ล่วงหน้าเพื่อนำมาพิจารณาว่า “ถ้าิเกิดยุบสภาเพื่อมีการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ ประชาชนไทยจะได้อะไรจากการเลือกตั้ง... ควรหรือไม่ที่พี่น้องผู้ต้องการประชาธิปไตยจะ Vote No เพื่อปฏิเ้สธการเลือกตั้งภายใต้ระบอบเผด็จการนี้”
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยในการพิจารณาเพื่อวางแผนกำหนดการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการให้เป็นไปตามเป้าหมายประชาิธิปไตย... ถ้าเกิดการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายในระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 50 นี้ แล้วพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง...
ต่อมา กกต. ก็แจกใบแดงให้กับผู้สมัครผู้ได้รับการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย จนเหลือจำนวนไม่ถึงครึ่ง...และเมื่อจัดตั้งรัฐบาลแล้วแม้พรรคเพื่อไทยได้รับเสียงข้างมากแต่ก็ไม่สามารถสั่งการใครได้โดยเฉพาะกองทัพ...จากนั้นไม่นานก็ถูกตุลาการพิจารณาพิพากษาให้นายกรัฐมนตรีพ้นสภาพ ถูกยุึบพรรค หรือไม่ก็ถูกบีบจากอำนาจภายนอกให้บริหารราชการไม่ได้... ประชาชนก็ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของอำนาจเผด็จการมืดต่อไป พวกที่ประท้วงเรียกร้องก็เรียกร้องไป พวกที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อประชาชนก็หน้าด้านทำต่อไปโดยไม่สนใจอะไร..... “แล้วพี่น้องคนไทยจะได้รับอะไรจากการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้” เราจะได้ประชาธิปไตยหรือเปล่า ? การต่อสู้ที่สูญเสียแม้กระทั่งเลือดเนื้อชีวิตจะสูญเปล่าหรือเปล่า ?
ถึงเวลาการต่อสู้ขั้นแตกหักระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย กับเผด็จการอมาตย์แล้ว ถ้าประเทศนี้ไม่ได้ประชาธิปไตยประชาชนก็จะต้องถูกกดขี่ และถูกสูบเลือดสูบเนื้อจนแห้งตาย....
สมรภูมิที่สำคัญมากชี้เป็นชี้ตายซึ่งกำลังจะมาถึงอันใกล้นี้ก็คือ “การเลือกตั้งใหญ่” ที่จะเกิดขึ้นนี้ เพราะเมื่อเผด็จการอมาตย์กำลังจะสูญสิ้นอำนาจพวกเขาก็จะยุบสภาโดยไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 50 และยังคงอำนาจเผด็จการอมาตย์เอาไว้...
เมื่อถึงเวลานั้นพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกท่านคงจะต้องตัดสินใจร่วมกันว่า “การเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญเผด็จการนั้นให้ประโยชน์ใดแก่ประชาชนในประเทศชาติบ้าง”
และการเลือกตั้งใหญ่จะทำให้ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยได้ประชาธิปไตยตามที่เรียกร้องจริงหรือ?