ที่มา ประชาไท
ในระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาที่ได้ภาคประชาสังคมได้มีการรณรงค์กับคณะทำงานระดับสูงว่าด้วยองค์กรสิทธิมนุษยชนอาเซียน (High Level Panel on ASEAN Human Rights Body) เพื่อผลักดันให้องค์กรสิทธิมนุษยชนอาเซียนมีอำนาจหน้าที่ตามหลักสากลเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในภูมภาคได้ ภาคประชาสังคมได้ตั้งคำถามว่าการรณรงค์เพื่อให้อาเซียนก่อตั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนอาเซียน (ASEAN human rights body) ที่มีอำนาจในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคจะเป็นเรื่องที่คุ้มค่ากับการทุ่มเทหรือเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
หลังจากคณะรัฐมนตรีอาเซียนได้แต่งตั้งคณะทำงานระดับสูงฯ เพื่อวางร่างขอบเขตอำนาจหน้าที่ (Terms of Reference) ขององค์กรสิทธิมนุษยชนในการประชุมคณะรัฐมนตรีอาเซียนครั้งที่ 41 ที่ประเทศสิงคโปร์ในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว คณะทำงานระดับสูงฯ ได้สร้างความหวังให้กับภาคประชาสังคมอาเซียนว่าอาเซียนในที่สุดจะยอมรับหลักประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมและหลักธรรมมาภิบาลโดยการออกแถลงการณ์ว่าคณะทำงานฯ “เห็นความสำคัญในการทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมอาเซียนในการ [วางร่างขอบเขตอำนาจหน้าที่ขององค์กรสิทธิมนุษยชนอาเซียน]
ในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วเป็นต้นมา กลุ่มองค์กรภาคประชาชนอาเซียนที่ได้ติดตามกระบวนการนี้ได้รวบรวมข้อเสนอหลักสามข้อซึ่งเป็นผลสรุปจากการระดมสมองในระดับประเทศและระดับภูมิภาคหลายสิบครั้งว่า:
หนึ่ง องค์กรสิทธิมนุษยชนอาเซียนอย่างน้อยต้องสามารถมีอำนาจในการจัดการทีมผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนเมื่อมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน สอง ต้องสามารถรับเรื่องร้องเรียนจากเหยื่อจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือองค์กรสิทธิมนุษยชน และสาม ต้องทำการตรวจสอบสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศสมาชิกได้อย่างเป็นประจำ ข้อเรียกร้องเหล่านี้ได้นำเสนอต่อคณะทำงานระดับสูงฯ ในการประชุมร่วมระหว่างคณะทำงานระดับสูงฯ กับภาคประชาสังคมในกรุงมานิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ในเดือนกันยายนปีที่แล้วและในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในเดือนมีนาคมปีนี้
ภาคประชาสังคมอาเซียนยังได้ตั้งความกังวลว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนอาเซียนฯ (ซึ่งจะก่อตั้งเสร็จภายในเดือนตุลาคมปีนี้ ตรงกับการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 15 ที่ประเทศไทย) จะเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมในสังคมมากแค่ไหน เนื่องจากกรอบขอบเขตการทำงานของคณะกรรมการให้ความยอมรับกับองค์กรวิชาชีพที่อาเซียนอ้างว่าเป็นองค์กรภาคประชาสังคมอยู่เพียงห้าสิบองค์กรเท่านั้น โดยที่องค์กรเหล่านี้ที่ไม่ได้ทำงานทางด้านสังคมหรือทางด้านสิทธิมนุษยชน เช่น องค์กรหมากรุกอาเซียน (ASEAN Chess Association) องค์กรเครื่องสำอางอาเซียน (ASEAN Cosmetic Association) สมาคมน้ำมันพืชอาเซียน (ASEAN Vegetable Oils Club) เป็นต้น
รัฐบาลอาเซียนมองการเกิดขึ้นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ นี้เป็นความสำเร็จทางด้านสิทธิมนุษยชนของอาเซียนแต่กลับไม่ได้มองในภาพกว้างว่าการพัฒนาทางด้านสิทธิมนุษยชนในอาเซียนได้อยู่ห่างไกลภูมิภาคอื่นมาก เมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคยุโรป แอฟฟริกา และทวีปอเมริกา สามภูมิภาคนี้ไม่เพียงได้ก่อตั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาคที่มีอำนาจในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศสมาชิกเป็นระยะเวลาหลายทศวรรษแล้ว ทวีปเหล่านี้ได้มีการก่อตั้งศาลสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาค (ยุโรปได้มีการก่อตั้งในปี 1959 ทวีปอเมริกาในปี 1979 และแอฟฟริกาในปี 2004) เพื่อออกมาตรการที่มีผลบังคับทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แต่สำหรับอาเซียนนั้นการพูดคุยเรื่องความเป็นไปได้ในการก่อตั้งศาลสิทธิมนุษยชนอาเซียนนับว่ายังเป็นเรื่องต้องห้าม (taboo) สำหรับรัฐบาลอาเซียนส่วนมาก
“อาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่การใช้ฆาตกรรมโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมโดยเจ้าหน้าที่รัฐ (extrajudicial executions) และผู้หญิงได้รับการละเมิดสิทธิตั้งแต่การค้าผู้หญิงจนไปถึงการกดขี่แรงงาน” วัชชาลากล่าว
ที่สำคัญที่สุด อาเซียนยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเลวร้ายลงในประเทศพม่า (ซึ่งเป็นสมาชิกของอาเซียนตั้งแต่ปี 1997 ได้) การที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนอาเซียนจะมีขอบเขตการทำงานที่อ่อนแอจะสามารถตอบคำถามกับสถานการณ์ผู้ลี้ภัยจากพม่า การกดขี่และละเมิดสิทธิมนุษยชนกลุ่มชาติพันธุ์ในพม่า และการคุมขังนักโทษทางการเมืองมากกว่าสองพันคนรวมถึงออง ซาน ซู จี ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยอย่างไม่มีกำหนดได้อย่างไร