ที่มา ไทยรัฐ
รพินทร์ เรือนแก้ว
อัยการปัตตานี ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องทีมฆ่าผู้พิพากษา "รพินทร์ เรือนแก้ว" กลางเมืองปัตตานี เมื่อปี 47 เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัย..
วันนี้ (20 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับคำพิพากษาศาลจังหวัดปัตตานีให้ยกฟ้อง นายอับดุลเลาะห์ ปะชี อาชีพช่างแกะสลักเฟอร์นิเจอร์ อยู่เลขที่ 57/1 ต.ปะกาฮะรัง อ.เมือง จ.ปัตตานี จำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.นั้น ล่าสุด พนักงานอัยการจังหวัดปัตตานีได้ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ขอให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยตามความผิดไปเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 52 ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ทั้งนี้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์นั้น มีใจความโดยสรุปว่า พนักงานอัยการจังหวัดปัตตานี เป็นโจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อเดือน ก.ค. -17 ก.ย. 2547 ต่อเนื่องกัน จำเลยกับพวก สมคบกันก่อนการร้ายโดยเป็นสมาชิกของกลุ่มบุคคลไม่ทราบชื่อซึ่งปกปิดวิธีการ และมีความมุ่งหมายใช้กำลังประทุษร้าย ฆ่า และลอบฆ่าเจ้าพนักงานของรัฐและประชาชนเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความกลัวในหมู่ประชาชน โดยเมื่อวันที่ 17 ก.ย.47 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกอีก 3 คน ซึ่งหลบหนีไป ร่วมกันใช้อาวุธปืนพกปืนสั้นขนาด .38 ยิงนายรพินทร์ เรือนแก้ว ผู้พิพากษาศาลจังหวัดปัตตานี เสียชีวิต โดยพวกจำเลยคบคิดกันวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำและไตร่ตรองไว้ก่อน ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมจำเลยได้พร้อมของกลางรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิ หมายเลขทะเบียน กนร 877 ปัตตานี หมวกกันน็อก โทรศัพท์มือถือที่ใช้ติดตามการเคลื่อนไหวของผู้ตายและแจ้งให้พวกจำเลยหลบหนี
ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ แต่ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33,83,91,135/1 และ 289 โดยศาลชั้นต้น ศาลจังหวัดปัตตานี มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2550 พิพากษาว่าให้ลงโทษประหารชีวิต แต่คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกตลอกชีวิต ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ อ้างว่าขณะถูกจับกุมจำเลยกำลังไปแลกเหรียญเพื่อใช้โทรศัพท์หาเพื่อน เมื่อถูกจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำร้ายร่างการข่มขู่ให้รับสารภาพว่าร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายซึ่งจำเลยทนความเจ็บปวดไม่ได้จึงยอมรับสารภาพ ซึ่งในชั้นสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้อ่านคำให้การให้ฟังและขณะลงลายมือชื่อจำเลยอยู่ในอาการสับสนตกอยู่ในภวังค์รู้สึกปวดศีรษะโดยลงลายมือชื่อตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดูเป็นตัวอย่าง
ศาลอุทธรณ์ ภาค 9 เห็นว่าคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า ร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่าแม้โจทก์มี นางยามีล๊ะ เจ๊ะเล๊าะ เจ้าของร้านขายอาหาร,นายมนตรี ธรรมโชติ ผู้เช่าแผงขายอาหาร และนายวินิจ จันทร์ประดิษฐ์ เจ้าของร้านขายของบริเวณสี่แยกถนนสายโรงเหล้าที่เกิดเหตุ เบิกความทำนองเดียวกันว่าขณะกำลังจัดร้านและล้างจานอยู่ในร้านได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัดเมื่อหันออกไปดูเห็นคนร้ายขับรถจักรยานยนต์มา 2 คน หลังยิงปืนได้ขับหลบหนีโดยเห็นโดยเห็นคนเจ็บถูกนำขึ้นรถพยาบาล และเห็นรถยนต์แบบโฟร์วีลและรถกระบะอยู่ในที่เกิดเหตุแต่พยานไม่ได้สังเกตหน้าคนร้ายและจดจำไม่ได้เพราะอยู่ในอาการตกใจ เห็นว่าพยานทั้ง 3 ปาก ซึ่งอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุต่างไม่เห็นหน้าคนร้ายที่ร่วมกันยิงผู้ตาย และไม่ได้เบิกความว่าเห็นจำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุหรือมีส่วนร่วมกระทำผิดอย่างใดบ้าง
แม้โจทก์มี นางเพ็ญศรี มารดาผู้ตายเบิกความว่าก่อนวันเกิดเหตุเห็นจำเลยมาดูลาดเลาอยู่หน้าบ้านผู้ตายช่วงเช้านานประมาณ 5 วันซึ่งวันเกิดเหตุเวลา 07.00 น.พยานเปิดประตูรั้วเพื่อให้ผู้ตายขับรถออกไปส่งบุตรตามปกติ เห็นจำเลยอยู่ที่หน้าบ้านอีกและจำเลยทำเป็นไม่สนใจ แต่นางเพ็ญศรี ให้การในชั้นสอบสวนว่า ช่วงเวลา 22.00 น.ก่อนเกิดเหตุ 2-3 วันเห็นชายอายุประมาณ 20 ปี ขี่รถจักรยานยนต์มาสังเกตการณ์ที่หน้าบ้านพักโดยในวันเกิดเหตุเวลา 07.00 น.
ขณะยืนอยู่บนบ้านพยานเห็นจำเลยขี่รถจักรยานยนต์จอดคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ข้างถนน เห็นได้ว่าคำเบิกความของนางเพ็ญศรีล้วนขัดแย้งแตกต่างกับคำให้การชั้นสอบสวนโดยสิ้นเชิง จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ นอกจากนี้หลังจับกุมจำเลยได้ ไม่ปรากฏว่านางเพ็ญศรีไม่ได้ไปชี้ตัวจำเลยเพื่อยืนยันว่าเป็นคนร้าย พยานหลักฐานโจทก์จึงขาดความเชื่อมโยงแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร
นอกจากนี้ จำเลยให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาว่าไม่ได้กระทำผิดและต่อสู้ว่าถูกขู่เข็ญ ทำร้ายร่างการให้รับสารภาพ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกฆ่า ผู้ตายหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.227 วรรค 2 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์ ภาค 9 ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น จึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นฯ โดยให้คืนรถจักรยานยนต์ และโทรศัพท์มือถือของกลางให้จำเลย แต่ให้ขังจำเลยไว้ระหว่างฎีกา