ที่มา thaifreenews
โดย poonnook
สถานการณ์การต่อสู้ทางการเมืองในขณะนี้แหลมคมอย่างยิ่ง.. ทั้งสมรภูมิในสภา..สมรภูมินอกสภา..และสมรภูมินอกประเทศ.. ชนิดที่เรียกว่าใครก้าวผิดเพียงก้าวเดียว ก็แพ้ทั้งกระดาน..
พี่น้องคนเสื้อแดงได้พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาว่า.. “Red Shirt Never Die” .. ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยเหล่านี้ มิได้ถูกใครจ้างมาให้มารวมตัวกัน.. พวกเขาต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันในการรวมตัวกันในครั้งนี้... ถ้าถามว่าเป้าหมายสูงสุดที่ทุก ๆ คนต้องการคือสิ่งใด (ผมขอเน้นย้ำว่าสำหรับประชาชนคนเสื้อแดง).. คำตอบก็น่าจะเหมือนกันคือ “ประชาธิปไตยที่แท้จริงโดยสมบูรณ์” ส่วนในเรื่องการทวงคืนความเป็นธรรม.. กำจัดสองมาตรฐาน.. หรือให้ประกันตัวแกนนำ นปช.” .. สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลที่จะเกิดขึ้นเมื่อ ประเทศไทยได้ประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์แล้วทั้งนั้น.. ซึ่งผมเชื่อว่าเรื่องนี้พี่น้องชาวเสื้อแดงทุกๆ คนต่างก็รับทราบกันดี
เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงมีคำถามว่า “อะไรคืออุปสรรคที่ขัดขวางมิให้ประเทศไทยได้มีประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์” ซึ่งเป็นคำถามที่พี่น้องมวลชนคนเสื้อแดงทุกๆ คนก็รู้คำตอบกันอยู่โดยเปิดเผย.. แม้ว่าจะไม่พูดกันออกมาอย่างตรงๆ ก็ตาม.. เมื่อเป็นดังนี้.. วิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ตามเป้าหมายที่จะต้องไปให้ถึงนั้นจึงมี 2 วิธีคือ.. 1. การร้องขอ (ขอความเมตตาให้ผู้ครองอำนาจเผด็จการมอบให้) 2. การต่อสู้ (เพื่อแย่งชิงเอามาจากผู้ครองอำนาจเผด็จการ)
ตลอดระยะเวลากว่า 4 ปีแห่งการต่อสู้โดยสงบปราศจากอาวุธของพี่น้องคนเสื้อแดง จากที่ยังมองเห็นเพียงภาพเงาที่เลือนราง.. จนได้กลายเป็นตาสว่างเห็นทุกอย่างแจ่มชัดอยู่ตรงหน้า.. ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมเรียกร้องด้วยประชาชนหลายแสน.. รายชื่อถวายฎีกาเรือนล้าน.. ซึ่งในที่สุดก็ได้รับคำตอบคือ “การล้อมปราบทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิต, บาดเจ็บ และสูญหายไปมากมาย” ในหลายกรรมหลายวาระที่ผ่านมา
ผมเริ่มไม่แน่ใจว่า “การต่อสู้โดยสงบปราศจากอาวุธ” นั้นหมายถึงการรวมตัวกันเดินไปยอมให้เขาล้อมปราบด้วยอาวุธและเกิดความสูญเสียชีวิตขึ้น เช่นนั้นหรือเปล่า??.. พี่น้องคนเสื้อแดงผู้เป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์และรักประชาธิปไตย คงจะต้องถามใจตัวเองจริงๆ แล้วว่า.. “เป้าหมายแห่งการต่อสู้โดยสงบปราศจากอาวุธนั้น สำหรับแต่ละท่านแล้วอยู่ที่ใด” ..
ความจริงที่ปฏิเสธมิได้ และเป็นความจริงที่เป็น Fact ก็คือ “คนเสื้อแดงเกิดขึ้นครั้งแรกโดย บก.ลายจุดเมื่อให้มีการรณรงค์ไม่รับรัฐธรรมนูญปี 50 .. และคนเสื้อแดงสามารถกลับมารวมตัวกันได้อีกครั้งอย่างเป็นกลุ่มก้อนก็คือ จาก บก. ลายจุด ในกิจกรรมวันอาทิตย์สีแดง และการผูกริบบิ้นสีแดงที่ราชประสงค์เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2553”
คนเสื้อแดงคือ “มวลชนผู้รักประชาธิปไตย” คนเสื้อแดงไม่ใช่ “ลูกจ้างที่อยู่ในสังกัดของใคร” นปช. เป็นกลุ่มดำเนินงานทางประชาธิปไตยกลุ่มหนึ่งที่มี “อำนาจทางสื่อ..และมีดาวไฮปาร์คที่โดดเด่นกว่ากลุ่มประชาธิปไตยกว่ากลุ่มอื่นเท่านั้น”.. ซึ่งถ้ามองในด้านยุทธวิธีในการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยแล้ว.. กลุ่มของ นปช. จึงมีศักยภาพในการสื่อสารกับมวลชนได้กว้างไกลกว่ากลุ่มประชาธิปไตยกลุ่มอื่นๆ และเป็นประโยชน์อย่างสูงในภาพรวมที่ทำให้เกิดการขับเคลื่อนมวลชน และรวมศูนย์ความคิดทางการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการได้เหนือกว่ากลุ่มอื่นใด
ปูนนก
Re:โดยหลักการแล้ว นปช. จึงน่าจะเป็นเหมือน พี่ใหญ่ (ในด้านอิทธิพลทางสื่อและการได้รับความนิยม) ที่มีอำนาจบารมีในทางการต่อสู้กับเผด็จการมากกว่ากลุ่มประชาธิปไตยกลุ่มอื่นๆ และควรจะเป็นผู้ให้การสนับสนุน, ส่งเสริม, ดูแล และสร้างแนวร่วมกับคนเสื้อแดงกลุ่มอื่นๆ ให้มากขึ้นเพื่อสร้างมวลชนที่มีใจรักประชาธิปไตยให้มีมากจนเต็มทั้งประเทศ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายนำประชาธิปไตยที่สมบูรณ์และแท้จริงมาสู่ประเทศนี้..
เมื่อครั้งที่คุณวีระ มุกสิกพงศ์ ประกาศกลางเวทีผ่านฟ้าเมื่อประมาณเดือน เมษายน ปี 2553 ว่า “ขอตัดขาด อ. สุรชัย (แดงสยาม) ออกไปจาก นปช. ไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะคนละแนวทาง” ... ในครั้งนั้นได้แสดงให้เห็นครั้งหนึ่งแล้วว่า สิ่งที่ นปช. ได้แสดงออกเวลานั้น ไม่ใช่การเพิ่มมิตร เพื่อต่อสู้กับศัตรู แต่เป็นการผลักแนวร่วมที่เป็นมิตรให้กลายเป็นศัตรูไปครั้งหนึ่งแล้ว.. และเมื่อวันที่ 13 ก.พ. ที่ผ่านมา การพูดบนเวทีโดยขาดการพิจารณาว่า เวทีของกลุ่มนักศึกษาที่ออกมาร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยนั้นเป็น “เวทีขอทาน” ผมไม่แน่ใจว่า คำพูดเช่นนี้สำหรับผู้ที่เรียกตนเองว่า “แกนนำการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” นั้นมีวัตถุประสงค์เช่นไร..
ข้ออ้างที่ว่าการต่อสู้ต้องมียุทธวิธี เพื่อไม่ให้เป็นเป้าสำหรับการถูกโจมตี หรือเพื่อมิให้มีเงื่อนไขที่ผิดกฎหมายนั้น.. ถ้ามองโดยขาดการพิจารณาก็เป็นคำกล่าวที่ดูดีและถูกต้อง.. แต่ถ้ามองอย่างพิเคราะห์สักเล็กน้อยก็จะเห็นถึงสิ่งน่าจะเป็นปัญหาคือ
1. สมมติว่าถ้าไม่มีการต่อสู้ในแนวทางแบบแดงสยาม (ไม่มีแดงสยามเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น) ทุกๆ คนต่อสู้ในแนวทาง สงบ, สันติ, ปราศจากอาวุธ ตามที่ กลุ่ม นปช. พูดเป็นคำขวัญมาตลอดนั้น.. มวลชนคนเสื้อแดงจะไม่ถูกล้อมปราบ และไม่ถูกสังหารกลางถนน กระนั้นหรือ??
2. สมมติว่าถ้า นปช. นำมวลชนเข้าร่วมชุมนุมนับจากเดือนมีนาคมวันที่ 13 ปี 2553 เป็นต้นมา โดยไม่มีแรงกดดันอื่นใดเข้ามาเป็นตัวเสริมแรงนั้น..จะทำให้มวลชนคนเสื้อแดง ได้รับ ประธิปไตยที่สมบูรณ์ตามต้องการ ใช่หรือไม่??
3. เป้าหมายทวงคืนความเป็นธรรม, หยุดยั้งสองมาตรฐาน, ของ นปช. ที่ขณะนี้มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตรงหน้าโดยทั่วไป (เปรียบเทียบกับเวทีพันธมิตร) นั้น.. จะมียุทธศาสตร์ เช่นไร?? ในการนำพามวลชนคนเสื้อแดงผู้ต้องการประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ให้ไปถึงเป้าหมายนั้นด้วยเช่นเดียวกัน..
ประชาธิปไตยคือ แนวทางการปกครองที่รวมแนวคิดของคนที่หลากหลาย ให้เข้ามาอยู่รวมกันในทางปฏิบัติ โดยอาศัยกฎหมายเป็นเครื่องกำหนดมิให้เกิดความวุ่นวายสับสน.. มิใช่ใช้ความคิดของใคร คนใดคนหนึ่ง มาเป็นตัวตัดสินว่า นี่คือความคิดที่ถูกต้องที่สุด และไม่ยอมรับความคิดที่แตกต่างไปจากตนเอง.. พฤติกรรมเยี่ยงนี้ มิใช่แนวคิดแบบประชาธิปไตย แต่ก็คือ “เผด็จการซ่อนรูป” เช่นกัน..
ถ้ายอมรับว่า นปช. คือ “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” จุดเริ่มต้นของคำว่าแนวร่วมก็คือ ไม่ใช่ผู้นำ แต่เป็นเพียงแค่ “แนวร่วม” ดังนั้นการชี้นำมวลชนโดยไม่ยอมฟังเสียง หรือความเห็นที่แตกต่าง และพยายามตัดทอนผู้ที่มีความเห็นที่ต่างไปให้ออกไปจากแนวทาง จึงมิใช่วิธีของประชาธิปไตยโดยแท้..
มวลชนคนเสื้อแดงคือ ประชาชนที่ยอมสละชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่พวกเขาต้องการ...
- ไม่มีแกนนำคนใดที่อ้างตัวว่าต่อสู้เผด็จการ เดินถือธงอยู่ข้างหน้ามวลชน แล้วถูกยิงสมองกระจาย..
- ไม่มีแกนนำคนใดที่อ้างตัวว่าต่อสู้เผด็จการ นั่งถือธงอยู่หน้าเวทีเป็นคนสุดท้าย ขณะที่ทหารกำลังล้อมปราบด้วยอาวุธสงคราม..
- ไม่มีแกนนำคนใดที่อ้างตัวว่าต่อสู้เผด็จการ ลุกขึ้นยิงหนังสติ๊ก เข้าใส่ทหารที่ขับรถหุ้มเกราะเข้ามา..
- ไม่มีแกนนำคนใดที่อ้างตัวว่าต่อสู้เผด็จการ นอนทอดร่างเลือดทาแผ่นดินเพื่อประชาธิปไตยที่ตนเองอ้างว่ากำลังต่อสู้เพื่อให้ได้มา
แต่ทว่าแกนนำ (บางคน) เหล่านั้น....
- นอนในโรงแรมหรู ขณะที่มวลชนนอนอยู่บนถนน
- ยืนถือไมโครโฟนปราศรัยอยู่บนเวที ขณะที่แนวหน้ากำลังปะทะกับทหาร
- อ้างตัวเป็นแกนนำเพื่อประชาธิปไตย แต่ในที่สุดก็พิสูจน์แล้วว่าล้มเหลวทางอุดมการณ์
- อาศัยมวลชนผู้รักประชาธิปไตย เพื่อให้ได้เกิดทางการเมือง
- ชี้นำมวลชนให้เดินไปข้างหน้า.. แต่ไม่ต้องการให้ถึงเป้าหมาย
ฯลฯ
ปูนนก
Re:
มีคำกล่าวที่ได้ยินกันบ่อยๆ เสมอๆว่า ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนั้น มีหลายกลุ่มหลายขบวนการ.. เหมือนรถที่มีหลายคัน.. ใครชอบหรือสะดวกที่จะขึ้นคันไหนก็ไปคันนั้น.. ตามความต้องการ.. เพราะล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายเดียวกัน.. สมมติว่าเป้าหมายการเดินทางอยู่ที่เชียงใหม่.. ถ้ารถคันที่ประชาชนนั่งนั้นสุดทางแค่นครสวรรค์ ประชาชนก็ลงรถแล้วนั่งรถคันอื่นต่อไปยังเชียงใหม่ได้อยู่ดี ไม่จำเป็นต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน เพราะทุกๆ คันไปในเส้นทางเดียวกัน..
ฟังดูดีครับ.. แต่ประเด็นก็คือ คนขับรถ (แกนนำ) ในขบวนนั้นๆ เคยบอกประชาชนที่ขึ้นมาโดยสารบนรถประชาธิปไตยคันนั้นหรือไม่ว่า รถขบวนนี้วิ่งสุดทางที่ใด.. เพราะเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า “ประชาชนนั้นต้องการประชาธิปไตยที่สมบูรณ์” หรือพูดเปรียบเทียบอีกนัยหนึ่งก็คือ “ประชาชนต้องการเดินทางไปจนสุดทางที่เชียงใหม่ ไม่ใช่ไปนครสวรรค์” ถ้าคนขับรถประชาธิปไตยคันนั้นสัตย์ซื่อต่อมวลชน แล้วบอกกับมวลชนว่า “รถคันนี้ไปสุดทางแค่นครสวรรค์ จากนั้นทุกท่านต้องลง แล้วไปต่อรถคันอื่นเองถ้าท่านต้องการไปเชียงใหม่” ท่านคิดว่า ประชาชนจะเลือกขึ้นรถประชาธิปไตยคันนี้ของท่านหรือไม่??
ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องเกิดขึ้นก่อนในกระบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยก็คือ “การยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ โดยมีจิตใจที่สูงพอที่จะเคารพในความเห็นที่แตกต่าง” จากนั้นจึงนำเอาความคิดที่หลากหลายนั้นมา “ตกผลึก” เป็นยุทธศาสตร์, เป็นแนวทาง, และเป็นยุทธวิธีการต่อสู้.. มิใช่มองว่าคนที่คิดไม่เหมือนตนเองนั้นเป็น “แดงเทียม.. แดงปลอม.. ไม่ใช่พวกเรา” อย่างนี้ เขาไม่เรียกว่าแกนนำครับ แต่เรียกว่า “อันธพาล”
ปูนนก
Re:
โดย ลูกชาวนาไทย
ผมเห็นว่าการ "ยอมรับคำวิพาร์กวิจารณ์" เป็นเรื่องปกติ แต่ฝ่าย "วิพาร์กวิจารณ์ ก็ต้องยอมรับการวิพาร์กวิจารณ์กลับด้วย ก็คือ การโต้แย้งนั่นเอง ไม่ใช่ว่าเขาวิพาร์กวิจารณ์กลับแล้วออกมาโวยวายแบบกลุ่มของ สุรชัย และหากให้ผมวิจารณ์กลับแล้วจะแรงกว่าที่เขาคิดกันอยู่
ก็ต้องยอมรับนะครับว่า กลุ่มเสื้อแดง นอกจากมีความแตกต่างกันในยุทธวิธีการต่อสู้ ที่บางพวกบอกว่า "ต้องปฎิวัติสังคม แต่ ไม่บอกว่าแบบไหน แบบแดงสยาม กลับกลุ่ม แดง นปช. ที่ส่วนใหญ่เป็นแดงลิเบอรัล ต้องการแค่ปฎิรูปสังคม ยุทธวิธีคือ ต่อสู้ในกรอบของแนวทางสันติ
แดงสยามนั้นไม่แฟร์ ไม่เป็นสุภาพบุรุษ เพราะแนวทางของพวกเขา หากไม่โกหกตัวเอง โกหกคนอืนแบบตอแหลแล้ว คือ "การตั้งกองทัพแดงขึ้นมาต่อสู้ และลุยไปบนทะเลเลือด" อย่าปฎิเสธ ไม่อย่างนั้นมันจะปฎิวัติสังคมได้อย่างไร แบบอียิปต์ ก็ยังตายกันเกือบพันคน เพียงแต่อียีปต์นั้นคนอียิปต์ทั้งหมดเอาด้วย แต่ประเทศไทย ยังมีอีกครึ่งหนึ่งที่เป็นพวกเสื้อเหลือง หากจะทำให้สำเร็จ คงตายเป็นแสนๆ เพราะพวกเสื้อเหลืองก็ต้องต่อสู้
อย่าตอแหลว่า แนวทางแดงสยาม ก็ไม่ได้ตั้งกองทัพขึ้นสู้ แบบนั้นมันจะต่างจาก นปช. ตรงไหน แล้วทะเลาะกันหาอะไร หากเป็นแค่นี้ ก็แตกต่างกันแค่ นปช. ไม่ด่าเจ้าบนเวที (ข้างล่างเวทีไม่ทราบไปฟังกันเอาเอง เป็นแบบแดงสยามต้องการอยู่แล้ว) แดงสยามต้องการให้คนอื่นด่าเจ้าแทนตัวเองบนเวที แต่ตัวเองไม่ด่าเอง (และให้คนอื่นเข้าคุกแทน ตัวเองก็ยุให้คนอื่นด่าเจ้าต่อไป และสุดท้ายแกนนำเสื้อแดงก็เข้าคุกหมด เหลือแต่สุรชัย เข้าทางอำมาตย์พอดี)
ต่างกันแค่นี้แล้วมันมีความหมายอะไร
นั่นเป็นเรื่องทางยุทธวิธี
แต่หากเป็นเรื่องทางอุดมการณ์ ผมว่าแดงสยาม กับ แดง นปช. มีความแตกต่างกันอยู่อย่างมโหราฬ แดงสยามคือ แนวคิดแบบสังคมนิยมมาร์กซิสต์ แดง นปช. คือ ลิเบอรัล
พูดกันแฟร์ๆ คือ แดงสยามต้องการเปลี่ยนระบอบเป็นแบบจีนคอมมิวนิสต์
แต่ แดง นปช. ต้องการเปลี่ยนระบอบเป็นแบบอังกฤษ หรือญี่ปุ่น
เมื่อต้องวิพาร์กกันแล้ว ก็ต้องวิพาร์กกันให้ถึงที่สุด อย่าปกปิดบางส่วนไว้ไม่ยอมพูด ผมก็เบื่อที่จะต้องเถียงกันแบบไม่ยอมรับความจริงแล้วเหมือนกัน
ความแตกต่างของทั้งสองกลุ่มมีมากมายมหาศาล จะให้ร่วมสู้บนเวทีเดียวกัน มันคงยาก ตอนนี้ประนีประนอมกันได้แค่ เวทีของใครของมัน
หากให้คนที่มีอุดมการณ์ที่แตกต่างกันสองกลุ่ม ขึ้นเวทีเดียวกัน พูดไปคนละทิศละทาง มันไม่สับสนวุ่นวายยิ่งกว่าเดิมหรือ ผมว่าหากเราจะคิดอะไรก็ต้องคิดให้จบ
และหากมีอะไรเข้าทางอำมาตย์ เช่น ม.112 แดง นปช. ก็ต้องร่วมรับผิดชอบกับแดงสยามด้วยหรือ ในเมื่ออุดมการณ์แตกต่างกันในขั้นปลาย
ทำไมแดงสยาม จึงกระเหี้ยนกระหือรือที่จะขึ้นเวทีของ นปช. ทำไมไม่สร้างเวทีของตนเอง นัดชุมนุมอาทิตย์ถัดไป คนเขาไปร่วมเท่าไหร่ก็เท่านั้น จะไปตีขลุมเอาว่าคนที่ไปทั้งหมด ต้องยอมรับแนวคิดแดงสยามอย่างนั้นหรือ
ผมว่าตอนนี้ก็มีคนจำนวนมากยอมรับ ก็น่าจะตั้งเวทีกันเองได้ อาจเป็นแนวทางที่ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าของ นปช. ก็เป็นได้ แล้วอยากพูดอะไรก็พูดเอง และรับผิดชอบเองด้วย
Re:
โดย ลูกชาวนาไทย
ก็ไม่เห็นไม่เป็นประชาธิปไตยตรงไหนนี่ครับ หนิง ต้องชี้แจงด้วยว่า ตรงไหนที่เขาไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องชี้แจงให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นประเด็นมันก็ไม่ชัดเจน
เรื่องการวิพาร์กวิจารณ์ มันก็ต้องมีวิจารณ์กลับ ไม่เห็นมีใครห้ามใครได้ ไม่ใช่โดนวิจารณ์แล้วคนอื่นเขาวิจารณ์กลับ ก็ไปด่าเขาว่า "ไม่มีภาวะผู้นำ" แบบที่ตั้งกระทู้กันทั้งหลายตอนนี้" มันก็เริ่มมาจาก อ.ธิดา วิจารณ์ สุรชัยกลับ ก็แค่นั้น แล้วมันไม่เป็นประชาธิปไตยตรงไหน คุณวิจารณ์เขาได้ เขาก็วิจารณ์กลับ มันก็แค่นั้นเอง
ส่วนการเลือกตั้งแกนนำ นปช. เขาก็เลือกจากกรรมการเขาอยู่แล้ว เพราะเสื้อแดงก็มีหลายกลุ่ม ไม่ใช่ว่า เราจะเอาคนกลุ่มนี้ไปเป็นหัวหน้าอีกกลุ่มได้
ดังนั้น เรื่องวิจารณ์ก็เห็นวิจารณ์กันสนั่นเว็บ ก็มีเสรีภาพกันดีอยู่ แต่การจะให้คนอื่นต้องเห็นด้วยกับการวิจารณ์นั้นมันคงเป็นไปไม่ได้ครับ เช่นพี่ไม่เห็นด้วยพี่ก็วิจารณ์กลับ ใครวิจารณ์ตอบมาก็ไม่มีอะไร เราก็ยกประเด็นตอบกลับ หากมันมีประเด็น
Re:
โดย poonnook
รู้สึกเป็นเกียรติครับที่ คุณลูกชาวนาไทย เข้ามาแสดงความเห็นในกระทู้นี้.. เพราะโดยปกติแล้วคุณลูกชาวนาไทย มักจะมีความคิดและข้อเสนอแนะดีๆ ในการนำเสนอให้ มวลชนได้พิจารณากันอยู่เสมอ.. ดังนั้นผมจึงรู้สึกเป็นเกียรติครับที่ได้แสดงความเห็นร่วมกัน.. เพราะสิ่งนี้คือ “บริบทพื้นฐาน” ของความเป็นประชาธิปไตย..
ในมุมมองส่วนตัวของผมนั้น.. การวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ หรือในกรณีใดๆ นั้น.. ต้องเริ่มจาก “บริบท” ของสิ่งที่จะวิพากษ์วิจารณ์นั้น.. ตัวอย่างเช่นการทำ Thesis Examination นั้น อาจารย์ผู้สอบจะทำการ “ Critic หรือ Interview (วิพากษ์วิจารณ์)” วิทยานิพนธ์นั้นอย่างดุเดือดทุกแง่ทุกมุม ส่วนผู้ที่ทำวิทยานิพนธ์ก็จะต้อง “Defense (กล่าวอธิบายปกป้อง)” วิทยานิพนธ์นั้นในทุกแง่ทุกมุมเช่นกัน.. แต่ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นการ “ Critic (วิพากษ์วิจารณ์) หรือ Defense (กล่าวปกป้อง)” วิทยานิพนธ์นั้น ก็จะต้องอยู่ภายใน “บริบท” ของ วิทยานิพนธ์นั้นเป็นสำคัญ.. ทั้งอาจารย์ผู้สอบ และนักศึกษาผู้ทำการ Defense จะไม่สามารถนำเสนอสิ่งใดนอกเหนือจาก “บริบทของวิทยานิพนธ์” นั้นได้...
ฉันใดก็ฉันนั้น.. กระทู้ที่ผมตั้งขึ้นมานี้.. ถือเป็นบทความขนาดกลางที่ไม่ยาวจนเกินไปนัก..แต่ก็ไม่สั้นจนเกินไปเช่นกัน.. ในบทความของผมนั้น “บริบท หรือสาระเนื้อหา” ถ้าจะกล่าวอย่างฟันธงตรงๆ ก็คือ ผมกำลังพูดว่า “ทำไมแกนนำ นปช. พูดบนเวทีในลักษณะที่ผลักมิตรให้เป็นศัตรู ไม่รักษาแนวร่วมที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยกัน แม้ว่าจะมีความเห็นที่ต่างกันก็ตาม”.. โดยผมยกตัวอย่าง 2 กรณี มาเป็นเรื่องประกอบคือ
1. เรื่องที่ คุณวีระ พูดตัดขาด กลุ่มแดงสยามออกจากแนวร่วมการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเมื่อครั้งสมัยเวทีผ่านฟ้า
2. เรื่องที่คุณจตุพร (ผมใช้คำว่าแกนนำ นปช.) พูด (เรียก) กลุ่มนักศึกษาที่ตั้งเวทีประชาธิปไตยในวันที่ 13 ก.พ. เหมือนกันว่า “เวทีขอทาน”
ทั้งสองเรื่องนี้เป็นเพียงแค่ “เรื่องประกอบในบริบท” ที่ผมเขียนถึงเท่านั้น..มิใช่เนื้อหาส่วนใหญ่ และอันที่จริงแล้วผมเขียนถึง หรือเอ่ยถึงกลุ่มแดงสยามเพียงแค่ 3 บรรทัดเท่านั้น จากเนื้อหาทั้งหมด.. แต่คุณลูกชาวนาไทย กลับอธิบายสิ่งที่แดงสยามกำลังทำ.. หรือ คิดว่าจะทำ.. เสมือนว่า กระทู้ที่ผมตั้งขึ้นนั้นเป็นกระทู้เปรียบเทียบแนวทางการต่อสู้ของแดงสยาม กับ นปช. ว่าแนวทางใดจะดีกว่ากันกระนั้น..
ซึ่งถ้าคุณลูกชาวนาไทย กำลังอธิบาย หรือแสดงความเห็นในประเด็นนี้..ก็แสดง คุณลูกชาวนาไทย “ไม่เข้าใจในบริบทของกระทู้ที่ผมนำเสนอ” (บางทีอาจเป็นไปได้ว่า ผมเขียนบทความได้ไม่ชัดเจนตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะสื่อก็เป็นได้)
และที่สำคัญ คุณลูกชาวนาไทย มิได้อธิบายในตัวอย่างที่สองที่ผมยกขึ้นมาประกอบด้วยเช่นกันว่า.. ทำไมแกนนำ นปช. จึงไปเรียก เวทีประชาธิปไตยของกลุ่มนักศึกษา (เวทีเล็ก) ว่า “เวทีขอทาน” เช่นนั้น.. ทั้งๆ ที่ จะพูดไปแล้ว นปช. เป็นผู้ใหญ่กว่ามาก..(ทั้งในด้านมวลชนและในการด้านความนิยม หรือแม้กระทั่งอายุ)
ประเด็นที่ผมพยายามสื่อก็คือ “ประชาธิปไตยต้องเปิดกว้างทางความคิดที่แตกต่าง และมีใจสูงพอที่จะยอมรับว่าแต่ละคนก็มีแนวคิดและวิธีการของตนเอง” ไม่ปิดกั้นการแสดงออก หรือความคิดของคนอื่นว่าไม่ถูก แม้จะมีความขัดแย้งกันก็จะตัดสินกันด้วย การลงคะแนนเสียง หรือแนวทางประชาธิปไตยนั่นเอง..
ผมคงไม่สามารถตอบคุณลูกชาวนาไทยได้หรอกครับว่า แนวคิดของกลุ่มแดงสยาม นั้นต้องการเปลี่ยนประเทศให้เป็นแบบ จีนคอมมิวนิสต์ จริงหรือไม่?? .. และแนวทางของ นปช. ต้องการให้ประเทศไทยเป็น อังกฤษ ญี่ปุ่น จริงหรือเปล่า?? ทั้งหลายทั้งปวงนี้ “เวลา” เท่านั้นครับที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ ดังเช่นที่ “เวลา” ได้พิสูจน์อุดมการณ์ทางประชาธิปไตยของแกนนำ นปช. ท่านหนึ่งมาแล้วอย่างหมดเปลือกเช่นกันว่า “ที่เห็นส่องแสงแวววาวนั้น ที่แท้ไม่ใช่เพชรแต่เป็นกระจกธรรมดานี่เอง”
ดังนั้นโดยสรุปครับ.. ถ้าคุณลูกชาวนาไทย ต้องการที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับกระทู้ที่ผมตั้งขึ้นนี้ กรุณาแสดงความเห็นตามบริบท ที่ผมได้นำเสนอเอาไว้ด้วยนะครับ.. เพราะมิฉะนั้น จะสามารถหาจุบจบของการสนทนาได้ยาก.. และถ้าแตกประเด็นมากขึ้นก็จะยิ่งไม่ทำให้เกิด “องค์ความรู้” ต่อประเด็นกระทู้ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อมวลชนผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายด้วยนะครับ..
ด้วยความนับถือ
ปูนนก