ที่มา thaifreenews
โดย bozo
คำร้องขอให้ตัดสิทธิ์ผู้พิพากษาฮันส์-ปีเตอร์ คาอูล (Hans-Peter Kaul) ในการพิจารณาคดีคนเสื้อแดง Read more from โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม 16 กุมภาพันธ์ 2554 ฯพณฯ ลูอิส โมเรโน-โอแคมโป อัยการ ศาลอาญาระหว่างประเทศ ตู้ไปรษณีย์ 19519 2500 ซีเอ็ม กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เรื่อง คดีระหว่างแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ และคำร้องต่ออัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ ให้ทำการสอบสวนสถานการณ์ในราชอาณาจักรไทย กรณีการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ซึ่งยื่นเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2554 เรียน ท่านอัยการ เราขอยื่นบันทึกฉบับนี้ต่อท่านเพื่อขอให้ท่านใช้อำนาจตามกฎหมาย ในการขอให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ มีคำสั่งห้ามผู้พิพากษาฮันส์-ปีเตอร์ คาอูล (Hans-Peter Kaul) มิให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาคดีที่ระบุข้างต้น เนื่องจากมีพฤติการณ์ที่อาจทำให้มีข้อสงสัยในความเป็นกลางของผู้พิพากษาท่านดังกล่าว (มาตรา 41.2 (60) ของสนธิสัญญากรุงโรม) ด้วยเหตุผลที่ว่า “มีการแสดงความเห็นผ่านทางสื่อมวลชน หรือโดยการเขียนบทความใดๆ หรือโดยการแสดงออกในที่สาธารณะ ซึ่งหากพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของการแสดงออกดังกล่าวแล้ว อาจมีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อหน้าที่ในการวางตนเป็นกลาง ในการพิจารณาพิพากษาคดีของบุคคลดังกล่าว” (กฎข้อ 34.1 (ดี)) เราขอยื่นคำร้องก่อนที่ท่านอัยการจะเริ่มการสอบสวน กรณีการกระทำความผิดตามที่ร้องขอ ด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรก ตามกฎข้อ 34.2 กำหนดว่า “การร้องคัดค้านคุณสมบัติผู้พิพากษา ในกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรทันทีที่ทราบเหตุแห่งการกระทำนั้น” ประการที่สอง ในฐานะที่เป็นองค์คณะผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีเบื้องต้น ผู้พิพากษาคาอูล อาจเข้ามีส่วนร่วมในการวินิจฉัยเบื้องต้น ในเรื่องที่เกี่ยวกับการอนุมัติการสอบสวนตามมาตรา 15.4 ของสนธิสัญญากรุงโรม และการพิจารณาเรื่องเขตอำนาจของศาลในคดีนี้ตามมาตรา 19 ของสนธิสัญญากรุงโรม คำร้องเรียนของเรามาจากพื้นฐานของข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้ เมื่อเดือนมกราคม 2554ไม่นานก่อนที่เราจะยื่นคำร้องขอต่ออัยการในศาลอาญาระหว่างประเทศ แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นที่รับรู้กันทั่วไปในประเทศไทยว่า กำลังจะมีการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ผู้พิพากษาคาอูลได้เดินทางมายังประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมในการสัมมนา เรื่อง “สิทธิมนุษยชนและศาลอาญาระหว่างประเทศ” ซึ่งจัดร่วมกันโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสถานทูตเยอรมัน ในวันที่ 21 มกราคม 2554 หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ได้ตีพิมพ์ บทสัมภาษณ์ผู้พิพากษาคาอูล (ตามเอกสารแนบหมายเลข A) เมื่อมีการสอบถามผู้พิพากษาคาอูลถึงคำร้องของ นปช. ที่จะยื่นต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ปรากฏข้อมูลว่า ผู้พิพากษาคาอูลได้ตอบว่า “อัยการทราบดีอยู่ว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นรัฐภาคีของสนธิสัญญากรุงโรม . . . ดังนั้น ศาลไอซีซีไม่สามารถมีอำนาจในการพิจารณาคดี ที่มีการฟ้องว่ามีการกระทำผิดกฎหมายในประเทศไทยได้ จนกว่าประเทศไทยจะให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญากรุงโรม” “ผมขอชี้แจงให้ชัดเจนว่า ศาลไม่มีอำนาจพิจารณาคดีทำผิดกฎหมายอาญาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย แม้ว่าการกระทำผิดดังกล่าวจะถึงขั้นที่เรียกได้ว่า เป็นอาชญากรรมต่อมนุษย์ชาติตามมาตรา 7 ของสนธิสัญญาดังกล่าวก็ตาม” ในทำนองเดียวกัน เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2554 ผู้พิพากษาคาอูลได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส (ตามเอกสารแนบหมายเลข B) ซึ่งในระหว่างการให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ปรากฏว่าผู้พิพากษาคาอูลได้ให้สัมภาษณ์ดังนี้ | ||||
|
“เป็นเรื่องที่ไร้สาระ ทำไมถึงเป็นเรื่องที่ไร้สาระ เพราะ(ทนายของ นปช.) ต้องรู้ดีว่า ตราบเท่าที่ประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีของสนธิสัญญากรุงโรม ศาลอาญาระหว่างประเทศไม่มีทางที่จะเข้าแทรกแซงนโยบายภายในประเทศของไทย ข้าพเจ้ายินดีที่ได้ชี้แจงข่าวสารที่มีความสำคัญเช่นนี้ เพราะมีคนจำนวนมากในประเทศนี้ที่ไม่เข้าใจระบบของสนธิสัญญา ดังนั้น ความเข้าใจของมหาชนจะต้องไม่ถูกนำไปในทางที่ผิด เพราะความเชื่อผิดๆ ซึ่งกำลังมีผู้ชี้นำความคิดเห็นของมหาชนไปในทางที่ไม่เกี่ยวข้องและไม่สามารถทำได้” “อย่างที่ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว และจะขอย้ำเป็นครั้งที่สาม ศาลไอซีซีจะมีความเกี่ยวข้องกับประเทศไทยได้ ถ้าคนไทยและรัฐบาลไทยทำการตัดสินใจที่จะเข้าเป็นภาคีของไอซีซี” คำพูดของผู้พิพากษาคาอูล ได้ก่อให้เกิดอคติต่อความเข้าใจของสาธารณชน ในการยื่นคำร้องเรียนนี้แล้ว รัฐบาลและสื่อที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลได้อ้างอิง ถึงคำพูดของผู้พิพากษาคาอูลมากมายหลายครั้ง โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะดิสเครดิตกระบวนการของ นปช. ที่จะยื่นคำร้องต่อศาลไอซีซี ยกตัวอย่างเช่น ในวันที่ 31 มกราคม 2554 หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ (ตามเอกสารแนบท้ายหมายเลข ซี) รายงานว่า: “เมื่อวันจันทร์ ทนายความของ นปช. ได้ยื่นฟ้อง นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศที่กรุงเฮก โดยขอให้มีการสอบสวนการกระทำผิดอาญาต่อมนุษยชาติ ในช่วงการสลายการชุมนุมเดือนเมษายน-พฤษภาคม ปีที่แล้ว” โดยก่อนหน้านี้ ผู้แทนของศาลไอซีซีได้แจ้งต่อขบวนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงว่า ศาลไอซีซีไม่มีอำนาจพิจารณาความผิดที่ถือเป็นเรื่องทางการเมืองในประเทศไทย เพราะประเทศไทยยังไม่ได้ไห้สัตยาบันในสนธิสัญญาที่ลงนามไว้ตั้งแต่ปี 2548” ต่อมาในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 บทบรรณาธิการของบางกอกโพสต์ (ตามเอกสารแนบท้ายหมายเลข ดี) ได้กล่าวหาคำฟ้องของ นปช. ว่า “ราคาถูกและไร้ยางอาย” โดยอ้างว่าทนายความที่ยื่นคำร้องต่อศาลไอซีซีนั้น “รู้ดีอยู่ว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของศาลไอซีซีได้บอกแล้วว่า ศาลไม่มีอำนาจพิพากษาคดีและไม่มีอำนาจพิจารณาคดีนี้ และไม่มีทางที่จะยินยอมที่จะรับพิจารณาคดี” บทบรรณาธิการดังกล่าวยังระบุด้วยว่า แม้จะมีการยื่นคำขอแล้ว “เพราะไอซีซีได้แถลงออกมาเองว่า จะไม่รับพิจารณาคดีดังกล่าว” ไม่เคยมีการแถลงการณ์ใดๆ จากผู้พิพากษาท่านอื่นหรือบุคคลากรท่านอื่นๆ ของศาลไอซีซี เกี่ยวกับคำฟ้องของ นปช. การที่สื่ออ้างอิงดังกล่าวจึงอ้างอิงจากคำสัมภาษณ์ของผู้พิพากษาคาอูลเท่านั้น ถ้าคำให้สัมภาษณ์ของผู้พิพากษาคาอูลถูกต้องตามความเป็นจริง หมายความว่า เขาได้แสดงความเห็นต่อสาธารณะโดยเป็นการพิพากษาตัดสินคดีแทนศาลไอซีซีแล้ว ในประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาล การแสดงความเห็นก่อนการพิจารณาคดี จึงทำให้ผู้พิพากษาคาอูลไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้พิพากษาในคดีนี้ มาตรา 41.2 (60) ของสนธิสัญญากรุงโรมระบุว่า “ผู้พิพากษาจะต้องไม่พิจารณาคดีที่อาจมีข้อสงสัย ในเรื่องความเป็นกลางของบุคคลดังกล่าว” กฎข้อ 34 (1) (ดี) ของกฎการพิจารณาคดีและพยานหลักฐานกำหนด เรื่องคุณสมบัติของผู้พิพากษาโดยผู้พิพากษาที่มีพฤติกรรม “แสดงความคิดเห็นผ่านช่องทางสื่อมวลชน โดยการเขียนหรือโดยการแสดงออกในที่สาธารณะ ในลักษณะที่อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นกลาง” ในคดีนี้ มีข้อสงสัยอย่างสมควรเกี่ยวกับความเป็นกลางของผู้พิพากษาคาอูล เพราะได้มีการแสดงความคิดเห็นผ่านทางสื่อมวลชน โดยแสดงจุดยืนว่าศาลไอซีซี “ไม่สามารถมีอำนาจในการพิจารณาคดี” กรณีของการกระทำความผิดต่อมนุษยชาติที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เพียงเพราะไทยไม่ได้เป็นภาคีต่อสนธิสัญญากรุงโรม คำแถลงดังกล่าวของผู้พิพากษาคาอูลไม่เพียงแต่เป็นการด่วนสรุป ซึ่งสร้างความเสียหายต่อผู้เสียหายและต่อกระบวนการยุติธรรม แต่ยังเป็นคำแถลงที่ไม่ถูกต้องในสาระสำคัญ ทั้งนี้เพราะปรากฏชัดเจนว่าผู้พิพากษาท่านนี้ไม่ทราบถึงพยานหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่ระบุในคำฟ้องของ นปช. ว่า นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไทยซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดเป็นบุคคลสัญชาติอังกฤษ ซึ่งสหราชอาณาจักรเป็นประเทศที่เป็นภาคีของสนธิสัญญากรุงโรม ดังนั้น คำฟ้องของ นปช. จึงเข้าเงื่อนไขเรื่องเขตอำนาจศาล ในกรณีของสัญชาติตามมาตรา 12.2 (บี) ของสนธิสัญญา นอกจากนี้ ผู้พิพากษาคาอูลยังไม่ได้คำนึงถึงประเด็น ที่รัฐบาลไทยในอนาคตอาจยอมรับเขตอำนาจของศาลไอซีซี ตามมาตรา 12.3 ของสนธิสัญญาดังกล่าว และยังไม่ได้พิจารณาถึงประเด็นเรื่องสิทธิของคณะมนตรีความมั่นคง ในการเข้าพิจารณาคดีนี้ตามมาตรา 13 (บี) ของสนธิสัญญา ตามมาตรา 36 (3) ของสนธิสัญญากรุงโรม ผู้พิพากษาจะได้รับเลือกจากบรรดาบุคคลที่มีจริยธรรมสูง มีความเป็นกลาง และมีศักดิ์ศรี โดยมีคุณสมบัติตามที่ระบุในกฎหมายของแต่ละประเทศ ที่เขามีสัญชาติในการที่จะเป็นผู้พิพากษาในศาลสูงสุดของประเทศนั้นๆ” นอกจากนี้ มาตรา 40 (2) ของสนธิสัญญากรุงโรมได้ระบุไว้ว่า “ผู้พิพากษาจะต้องไม่มีส่วนในกิจกรรม ซึ่งอาจจะเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม หรืออาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในความเป็นอิสระ” กฎข้อ 34 (1) (ดี) ของกฎของไอซีซีว่าด้วยกระบวนวิธีพิจารณาและพยานหลักฐาน ได้ระบุสาเหตุของการคัดค้านคุณสมบัติผู้พิพากษาไว้ดังนี้ “ห้ามผู้พิพากษาแสดงความคิดเห็นผ่านช่องทางสื่อมวลชน โดยการเขียน หรือการแสดงออกในที่สาธารณะในลักษณะที่อาจกระทบต่อความเป็นกลาง” ประเด็นนี้สอดคล้องกับมาตรา 41 (2) ของสนธิสัญญา ซึ่งกำหนดว่า “ผู้พิพากษา” จะต้องไม่มีส่วนร่วมในคดีที่มีข้อสงสัยในเรื่องความเป็นกลาง” ความเป็นกลางและความเป็นอิสระของตุลาการเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ตามมาตรา 6 ของสนธิสัญญาแห่งยุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีผลต่อกระบวนการพิจารณาคดีของศาลไอซีซี ในคดีที่เป็นบรรทัดฐานระหว่าง Hauschildt V. Denmark ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหภาพยุโรป (ECHR) ได้วินิจฉัยว่า “การพิจารณาเรื่องความเป็นกลางตามวัตถุประสงค์ของมาตรา 6 วรรค 1 จะต้องคำนึงถึงการตรวจสอบทางความคิดเห็น (Subjective Test) ซึ่งหมายถึง พื้นฐานความเชื่อของบุคคลที่มีต่อผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่ง ในคดีใดคดีหนึ่งและยังต้องคำนึงถึงการตรวจสอบทางภาวะวิสัยด้วยว่า ผู้พิพากษาคนหนึ่งคนใดได้ดำเนินการใด ที่จะเป็นหลักประกันที่เพียงพอในเรื่องของความเป็นกลาง” “สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือ ความเชื่อมั่นซึ่งศาลในสังคมประชาธิปไตยจะต้องสร้างความเชื่อมั่นแก่สาธารณชน….. ด้วยเหตุนี้ในกรณีที่มีเหตุผลที่ควรเชื่อที่ทำให้มีความวิตกว่า ผู้พิพากษาคนหนึ่งคนใดขาดความเป็นกลาง สิ่งที่ต้องใช้ในการตัดสินคือ เหตุแห่งความวิตกนั้นสามารถมีหลักฐานยืนยันได้หรือไม่” ด้วยเหตุนี้ ในรัฐที่เป็นประชาธิปไตย หน้าที่ของศาลไม่เพียงแต่ต้องจัดให้มีความยุติธรรม แต่ต้องดำเนินการให้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ได้มีการให้ความยุติธรรมแล้วด้วย เมื่อคำนึงถึงคำให้สัมภาษณ์ของผู้พิพากษาคาอูล ซึ่งเป็นการด่วนสรุปความเห็นทางกฎหมาย หรือด่วนให้คำวินิจฉัยก่อนการสืบพยานในประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาลนี้ จึงมีเหตุอันสมควรที่อาจจะทำให้เกิดข้อสงสัย ในเรื่องความเป็นกลางของผู้พิพากษารายนี้ได้ ดังนั้น ก่อนที่ผู้พิพากษาคาอูล จะมีโอกาสที่จะวินิจฉัยประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนี้ จึงจำเป็นต้องมีการดำเนินการให้เขา “ไม่มีคุณสมบัติ” [ในการเป็นผู้พิพากษาในคดีนี้] ตามเงื่อนไขแห่งสนธิสัญญากรุงโรม อัยการของศาลไอซีซี มีอำนาจและหน้าที่ในการดำเนินการร้องขอให้มีการกำหนดว่า เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งพิจารณาคดีนี้เมื่อมีพฤติกรรมต่างๆ ที่เข้าเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา เราจึงขอเรียกร้องให้ท่านอัยการใช้อำนาจ ในการร้องขอต่อศาลอาญาระหว่างประเทศในการกำหนด ให้ผู้พิพากษาคาอูลไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งพิจารณาพิพากษาในคดีนี้ นอกจากนี้ ตามกฎข้อ 34 (2) ของกฎว่าด้วย การพิจารณาคดีและพยานหลักฐานของไอซีซี เราขอร้องให้มีการส่งสำเนาคำร้องนี้ให้แก่ผู้พิพากษาคาอูลด้วย ขอแสดงความนับถือ โรเบิร์ต อาร์. อัมสเตอร์ดัม สำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัม แอนด์ เพรอฟ ศาสตราจารย์ ดัก แคสเซล จี. เจ. อเลกซานเดอร์ คนูป สำนักกฎหมายคนูป แอนด์ พาร์ทเนอร์ ทนายความของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ http://robertamsterdam.com/thai/?p=707 |